txt
stringlengths 202
53.1k
|
---|
# Google มีแผนพัฒนาโมเดล AI ให้บริการด้านแปลภาษาครอบคลุม 1,000 ภาษาในโมเดลเดียว
Google ประกาศแผนโครงการใหม่ชื่อว่า “1,000 Languages Initiative” ที่จะพัฒนาและเทรนโมเดลปัญญาประดิษฐ์เพื่อให้บริการแปลภาษาครอบคลุม 1,000 ภาษาที่มีผู้พูดเยอะที่สุดในโลกโดยใช้แค่โมเดลเดียว Google คาดว่าจะใช้โมเดลนี้กับแพลตฟอร์มของบริษัทตั้งแต่ Google Translate ไปจนถึงแคปชันใน YouTube
Zoubin Ghahramani รองประธานฝ่ายการวิจัยของ Google AI กล่าวว่าการสร้างโมเดลปัญญาประดิษฐ์ขนาดใหญ่นี้จะทำให้สามารถแปลได้ดีขึ้นทั้งภาษาที่มีผู้พูดจำนวนมากกับภาษาที่ไม่ค่อยมีข้อมูลมากนัก (low resource languages)
ในการเริ่มต้น Google เตรียมที่จะเปิดตัวโมเดล AI ที่ได้รับการเทรนมาแล้ว 400 ภาษา แต่การพัฒนาโมเดลให้ครอบคุลม 1,000 ภาษายังอยู่ในขั้นเริ่มต้นเท่านั้น
บริษัทได้พัฒนาโมเดลด้านภาษามาเป็นระยะเวลานานแต่ก็ยังคงมีปัญหาเช่น การที่ AI ไม่สามารถวิเคราะห์ภาษาที่มนุษย์ใช้ได้จริง หรือการแปลภาษาที่ก่อให้เกิดอคติต่าง ๆ ในประเด็นทางสังคม
ที่มา: The Verge |
# OpenAI เปิด API ของ DALL·E ให้นักพัฒนาติดตั้งลงในแอปของตัวเองแล้ว
Open AI เปิด API ของ DALL·E เป็น public beta ให้นักพัฒนาแอปพลิเคชันสามารถติดตั้ง DALL·E ซึ่งเป็นปัญญาประดิษฐ์ที่สร้างภาพขึ้นมาตามคำบรรยายลงในแอปพลิเคชันและผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาขึ้นมาเองได้โดยตรงแล้ว
บริษัทเผยว่ามีการดึง API ของ DALL·E ไปใช้งานบ้างแล้วเช่น เช่น Microsoft ที่ใช้ DALL·E ในแอปออกแบบที่ชื่อว่า Designer รวมทั้งติดตั้งใน Bing และ Microsoft Edge นอกจากนี้ยังมีบริษัทแฟชัน CALA ที่นำ AI ไปใช้เพื่อสร้างแบบเสื้อผ้าด้วยการพิพม์ตัวอักษร รวมทั้ง Mixtiles ที่เป็นเว็บไซต์ที่ให้คนเข้ามาสร้างภาพจาก AI
ที่มา: OpenAI |
# God of War: Ragnarok ได้คะแนนบน Metacritic 94 คะแนน เท่าภาคแรก
รีวิวของ God of War: Ragnarok ภาคต่อจากเมื่อปี 2018 ที่หลายคนรอออกมาแล้ว ขณะที่คะแนนบน Metacritic ก็ออกมาแล้วที่ 94 คะแนนเท่ากับภาคแรก (ณ เวลาเขียนข่าว) โดยสื่อและนักวิจารณ์เทคะแนนเป็น Positive ให้หมดอีกครั้ง
หากนับเป็นรายสื่อ หลายๆ เจ้าก็เทคะแนนให้เช่นกัน ทั้งเต็ม 5 เต็ม 10 หรือเกือบเต็ม โดยชมไปที่การรักษาเอกลักษณ์จากภาคแรกเอาไว้ครบถ้วน แต่มีการปรับปรุงเพิ่มเติมให้ดีขึ้น ทั้งเกมเพลย์ เควสต์ ไปจนถึงเนื้อเรื่องที่มีระยะเวลาในการเล่นที่นานกว่ามาก
คะแนนที่ได้รับบน Metacritic ที่ได้ไป 94 ทำให้ God of War: Ragnarok เป็นเกมอันดับ 3 ในกลุ่มเอ็กคลูซีฟจาก PlayStation ที่ได้คะแนนสูงสุด ตามหลัง The Last of Us ที่ 95 และ Uncharted 2: Among Thieves ที่ได้ไป 96 คะแนน
ที่มา - Metacritic |
# อีเมลภายในบริษัทเผย Twitter กำลังจะปลดคนออก เตรียมส่งอีเมลแจ้งพนักงาน คาดปลดออก 50%
สำนักข่าว Reuter และ CNA เห็นอีเมลภายในบริษัท Twitter ระบุว่าบริษัทจะแจ้งให้พนักงานแต่ละคนทราบว่าตนเองจะถูกปลดออกจากบริษัทหรือไม่ในวันศุกร์นี้ (ช่วงประมาณ 24.00 น. ตามเวลาไทยของวันเสาร์ที่ 5 พฤศจิกายน) โดยบริษัทจะปิดทำการออฟฟิศชั่วคราวไม่ให้พนักงานเข้าไปภายในเพื่อรักษาความปลอดภัยของพนักงาน รวมทั้งระบบและข้อมูลของ Twitter
รายละเอียดในอีเมลระบุว่า พนักงานที่ไม่ถูกปลดจะได้รับอีเมล์แจ้งผ่านอีเมลของบริษัท ส่วนพนักงานที่ถูกปลดออกจะได้รับการแจ้งผ่านอีเมลส่วนตัว ทั้งนี้ พนักงานรายหนึ่งเปิดเผยกับ CNA ว่าเขาได้รับแจ้งอย่างไม่เป็นทางการแล้วว่าจะถูกปลดออก
ยังไม่ชัดเจนว่าจำนวนพนักงานที่ถูกปลดออกจะมีกี่คน แต่ Washington Post และ New York Times ได้รายงานว่าพนักงานจำนวนครึ่งหนึ่งจากทั้งหมดที่มีราว 7,500 คนจะถูกปลดออก
ก่อนหน้านี้ Bloomberg ก็ได้รายงานว่า Elon Musk มีแผนปลดพนักงานออกราว 50%
ที่มา: Reuter via CNA
ภาพอีเมลภายในของ Twitter จาก CNA |
# Samsung ออกโฆษณาตัวใหม่ ชวนปีนกำแพงอันสวยงาม ออกไปหาสมาร์ทโฟนจอพับได้
ซัมซุงออกโฆษณาใหม่ ที่น่าจะล้อเลียนบริษัทแห่งหนึ่ง (อีกแล้ว) เนื้อเรื่องเป็นชายคนหนึ่งกำลังปีนกำแพงสูงจากร้านค้าแห่งหนึ่ง ที่ดูคล้ายร้านของแอปเปิลออกไปอีกฝั่ง
เมื่อพนักงานร้านทักท้วง ชายคนนั้นจึงตอบว่าในฝั่งนั้นของซัมซุง เขามีทั้งสมาร์ทโฟนจอพับได้และกล้องที่สุดยอด พนักงานร้านจึงบอกว่าเราทั้งหมดก็รอให้สิ่งเหล่านั้นมาหาที่นี่ไง ชายคนนั้นเลยบอกว่าทำไมต้องรอในเมื่อมันอยู่ตรงนั้นแล้ว พนักงานร้านจึงตอบว่า "นั่นคือสิ่งที่เราทำไง เรารอ"
ก็บอกได้ว่าโฆษณานี้ต้องการแซวแอปเปิล ที่ยังไม่มีสมาร์ทโฟนแบบหน้าจอพับได้วางขาย ซึ่งหากดูจากข่าวลือสินค้าใหม่แอปเปิลในช่วงหลัง iPhone รุ่นจอพับได้ก็ยังไม่ชัดเจนนักว่าจะมีขายเมื่อใดเช่นกัน
ดูโฆษณาได้ท้ายข่าว
ที่มา: MacRumors
แถมอีกเพลง |
# Twitter ประกาศยกเลิกงานสัมมนาสำหรับนักพัฒนา Chirp 2022
การเปลี่ยนแปลงของ Twitter ยังคงมีออกมาต่อเนื่อง ล่าสุด Twitter ประกาศยกเลิกงานสัมมนาสำหรับนักพัฒนา Chirp ที่เดิมกำหนดจัดในวันที่ 16 พฤศจิกายนนี้ ซึ่งการประกาศนี้ไม่เกินความคาดหมายนัก เนื่องจากใน Twitter เพิ่งมีการเปลี่ยนผู้บริหารระดับสูงหลายตำแหน่ง
Twitter บอกว่าการตัดสินใจยกเลิกงาน Chirp นี้ เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ทีมงานทุกคนกำลังทำงานอย่างหนัก เพื่อสร้างบางสิ่งที่เตรียมเปิดตัวเร็ว ๆ นี้
Chirp เป็นงานสัมมนาสำหรับนักพัฒนาของ Twitter จัดครั้งแรกในปี 2010 แล้วก็หยุดจัดในปีถัดมา ที่ผ่านมาความสัมพันธ์ของ Twitter กับฝั่งชุมชนนักพัฒนาเป็นไปในทิศทางไม่ดีนัก มีการเปลี่ยนนโยบาย API หลายครั้ง และเพิ่งมาปรับนโยบายให้เข้าถึงมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
ที่มา: TechCrunch |
# Gartner ประเมินการใช้จ่ายพับลิกคลาวด์ทั่วโลกปี 2023 จะแตะ 6 แสนล้านดอลลาร์
Gartner ออกรายงานพยากรณ์การใช้จ่ายพับลิกคลาวด์ของปี 2023 คาดเติบโต 20.7% มีมูลค่ารวม 5.92 แสนล้านดอลลาร์ ขณะที่ตัวเลขปี 2022 ประเมินว่าอยู่ที่ 4.90 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นอัตราเติบโตที่มากขึ้น
Sid Nag รองประธานฝ่ายวิจัยของ Gartner ให้ความเห็นว่าปัญหาเงินเฟ้อและปัญหาเศรษฐกิจในภาพใหญ่ ส่งผลทั้งบวกและลบต่อการใช้จ่ายพับลิกคลาวด์ แต่ด้วยจุดเด่นที่รองรับการเปลี่ยนแปลงและสเกลที่รวดเร็ว จึงเป็นทางเลือกที่สำคัญของผู้ใช้งาน และช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายทางไอทีรวมได้
Gartner ประเมินว่าส่วนโครงสร้างพื้นฐาน IaaS ยังเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดของพับลิกคลาวด์ ในปีหน้าจะเติบโต 29.8% ขณะที่ส่วนของแอพพลิเคชันอย่าง PaaS และ SaaS จะได้รับผลกระทบมากที่สุด เนื่องจากต้องมีบุคลากรฝั่งนักพัฒนา ขณะที่องค์กรก็ต้องควบคุมค่าใช้จ่ายในการรับพนักงานเพิ่ม อย่างไรก็ตามภาพรวมส่วนนี้ยังเติบโต
ที่มา: Gartner |
# Z Holdings ไตรมาสล่าสุด รายได้รวมเติบโต จากทั้งธุรกิจสื่อ-อีคอมเมิร์ซ-การเงิน
Z Holdings บริษัทโฮลดิ้งซึ่งเป็นเจ้าของ Yahoo! Japan และ LINE Corporation รายงานผลประกอบการของไตรมาสสิ้นสุดเดือนกันยายน 2022 มีรายได้รวม 3.94 แสนล้านเยน เพิ่มขึ้น 4.4% เทียบกับไตรมาสเดียวกันในปี 2021
กลุ่มธุรกิจ Media ยังมีรายได้เพิ่มขึ้น จากส่วนธุรกิจเฉพาะทั้งโฆษณา LINE Official Account และโฆษณาเสิร์ชของ Yahoo! Japan โดยส่วนที่กระทบคือ Display Ads ตามภาพรวมเศรษฐกิจ ขณะที่แพลตฟอร์มวิดีโอสั้น LINE VOOM ยังเติบโตทั้งจำนวนผู้ใช้งาน และระยะเวลาการดูวิดีโอ
กลุ่มธุรกิจ Commerce มีมูลค่าคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้น 13% โดยส่วนแพลตฟอร์มช้อปปิ้งออนไลน์ของ LINE ในไต้หวันและไทยยังคงเติบโต และจะพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ต่อเนื่อง ขณะที่กลุ่มธุรกิจใหม่เชิงกลยุทธ์ ในญี่ปุ่นจะโฟกัสที่แบรนด์ PayPay มากขึ้น จำนวนผู้ลงทะเบียนใช้งานในญี่ปุ่นเพิ่มเป็น 51.21 ล้านคน บริการทางการเงินต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องก็เติบโตตามทั้งหมด
ที่มา: Z Holdings (pdf) |
# WhatsApp เปิดให้ใช้งานฟีเจอร์กลุ่มแชตแบบมีห้องย่อย Communities กับผู้ใช้งานทุกคนแล้ว
WhatsApp ประกาศว่า Communities ฟีเจอร์จัดกลุ่มแชตเป็นห้องย่อย แนวเดียวกับ Slack, Microsoft Teams หรือ Discord ที่เปิดตัวทดสอบไปเมื่อต้นปี จะเริ่มเปิดให้ใช้งานกับผู้ใช้ทุกคนทั่วโลกแล้วในไม่กี่เดือนข้างหน้า
Communities เป็นฟีเจอร์ที่ออกแบบมาให้คนในกลุ่ม องค์กร ที่ทำงาน หรือกลุ่มผู้ปกครองนักเรียน สามารถสร้างกลุ่มสนทนาร่วมกันได้ วิดีโอคอลกลุ่มรองรับสูงสุด 32 คน และแต่ละกลุ่มรองรับผู้ใช้งานสูงสุด 1024 คน ข้อความทั้งหมดเข้ารหัสแบบ end-to-end
จุดเด่นด้านความเป็นส่วนตัวคือกลุ่มที่สร้างบน Communities จะไม่สามารถเสิร์ชเจอได้ ต้องเป็นการเชิญต่อกันเท่านั้น
ที่มา: WhatsApp ผ่าน TechCrunch |
# Alibaba Cloud เปิดตัว ModelScope บริการรันโมเดลปัญญาประดิษฐ์ พร้อมโมเดลโอเพนซอร์สพร้อมใช้กว่า 300 ตัว
Alibaba Cloud เปิดบริการ ModelScope บริการรันโมเดลปัญญาประดิษฐ์ รูปแบบ model-as-a-service (MaaS) พร้อมกับนำโมเดลปัญญาประดิษฐ์แบบโอเพนซอร์สมาให้ใช้งานได้ทันที รวมกว่า 300 โมเดล ทั้งตั้งแต่โมเดลทำความเข้าใจภาษา ไปจนถึงโมเดลแปลงข้อความเป็นภาพ
แม้จะเป็นบริการแบบ as-a-serviceแต่ผู้ใช้ก็ยังต้องเขียนโค้ดบ้าง โมเดลบางตัวที่ทำมาโชว์ เช่น mPLUG สำหรับตอบคำถามจากภาพ, Tongyi โมเดลแปลงข้อความเป็นภาพรองรับทั้งภาษาอังกฤษและภาษาจีน, OFA โมเดลที่ทำงานได้หลากหลายในโมเดลเดียว
ทาง Alibaba Cloud ยังไม่แจ้งราคา และตอนนี้ตัวเว็บก็ยังจำกัดเฉพาะภาษาจีน
ที่มา - Alibaba Cloud |
# สิงค์โปรขยายแพลตฟอร์มข้อมูลการเงินให้ประชาชนดึงข้อมูลจากบริษัทประกัน/ธนาคาร มาเก็บไว้ที่เดียว
ธนาคารกลางสิงคโปร์ขยายบริการ SGFinDex (Singapore Financial Data Exchange) แพลตฟอร์มกลางสำหรับแลกเปลี่ยนข้อมูลทางการเงินของประชาชนข้ามองค์กร บริการ SGFinDex เปิดบริการมาแล้วหลายปี และตอนนี้ก็เพิ่มให้บริษัทประกันส่งข้อมูลเข้ามาได้ด้วย
ตามแผนการ SGFinDex จะเชื่อมข้อมูลทางการเงินทั้งหน่วยงานภาครัฐ (เงินประกันสังคม, ภาษี, หนี้การเคหะ), ธนาคาร, บริษัทประกัน, และศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ ทำให้สามารถมองเห็นทรัพย์สิน, หนี้, และกรมธรรมม์ประกันต่างๆ โดยองค์กรที่ต้องจะส่งข้อมูลต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลก่อน ตัวแพลตฟอร์มนอกจากจะเชื่อมข้อมูลระหว่างสถาบันทางการเงินด้วยกันเองแล้ว ยังมีบริการ MyMoneySense ของรัฐบาลที่เปิดให้ประชาชนส่งข้อมูลเข้าไปทำ dashboard ดูสถานะทางการเงินโดยรวม
บริการ SGFinDex คล้ายกับบริการ dStatement ที่ผลักดันโดยธนาคารแห่งประเทศไทย แต่ของไทยยังจำกัดเฉพาะธนาคารเท่านั้น
ที่มา - MAS |
# AIS ไตรมาส 3/2565 - ฐานผู้ใช้งาน 5G เติบโตสูง เพิ่มเป็น 5.5 ล้านเลขหมาย
AIS รายงานผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 3 ปี 2565 มีรายได้รวม 46,234 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.1% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน สาเหตุหลักมาจากการขาย iPhone 14 ซึ่งเร็วขึ้นกว่าปีที่แล้วหนึ่งไตรมาส ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 6,032 ล้านบาท
จำนวนผู้ใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่เพิ่มขึ้นในไตรมาส 1.57 แสนเลขหมาย จำนวนผู้ใช้งานรวมเป็น 45.6 ล้านเลขหมาย โดยในรายละเอียดนั้น จำนวนผู้ใช้งานรายเดือนเพิ่มขึ้น จากการขายมือถือพ่วงแพ็คเกจ 5G ส่งผลให้ผู้ใช้ 5G เพิ่มเป็น 5.5 ล้านเลขหมาย ส่วนลูกค้าเติมเงินลดลง โดย AIS บอกว่ามาจากกำลังซื้อผู้บริโภคที่หดตัว และมีการยกเลิกซิมการ์ดนักท่องเที่ยวในไตรมาสก่อน ส่วนปริมาณการใช้งานข้อมูลเฉลี่ยต่อเดือนต่อเลขหมาย เพิ่มขึ้นเป็น 29.6GB
จำนวนลูกค้าอินเทอร์เน็ตไฟเบอร์เพิ่มขึ้นอีก 1.1 แสนราย เป็น 2.1 ล้านราย ซึ่งเป็นผลจากการขยายพื้นที่บริการในชานเมือง ขณะที่รายได้เฉลี่ยต่อผู้ใช้งานยังคงลดลง เนื่องจากการแข่งขันเสนอแพ็คเกจราคาต่ำจากผู้ให้บริการอื่น
ที่มา: AIS (pdf) |
# รถไฟฟ้าสิงคโปร์ทดลองปัญญาประดิษฐ์คุมตารางเดินรถ ปรับเพิ่มเที่ยวตามการใช้งานจริง
SBS Transit ผู้เดินรถไฟฟ้าในสิงคโปร์ประกาศเริ่มใช้งานซอฟต์แวร์ Controlguide® Airo ของบริษัท Siemens Mobility เพื่อปรับเพิ่มเที่ยวโดยสารตามการใช้งานจริง
Airo รับข้อมูลมากกว่า 20 รายกร เช่น อีเวนต์ขนาดใหญ่ที่มีผลกระทบต่อผู้โดยสาร, ประวัติการใช้งานในอดีต, สภาพจราจรบนท้องถนน, สภาพอากาศ, กล้องวงจรปิด, การขายตั๋ว, ไปจนถึงข้อมูล Wi-Fi แล้วเปิดให้ผู้ควบคุมกำหนดเป้าหมาย เช่น ระยะเวลารอในสถานี, ความหนาแน่นของผู้โดยสาร จากนั้นระบบจะจำลองว่าควรออกแบบตารางเดินรถอย่างไรล่วงหน้าหนึ่งวันเพื่อโหลดเข้าระบบควบคุมรถ
ทาง SBS Transit เริ่มใช้ Airo กับสาย Downtown เท่านั้น นับเป็นรถไฟฟ้าสายแรกที่ใช้งานปัญญาประดิษฐ์ปรับการทำงานเช่นนี้ในเอเชียแปซิฟิก
โครงการทดสอบนี้เป็นการทดสอบเทคโนโลยีใหม่ๆ สำหรับการให้บริการ พร้อมอีก 3 โครงการ ได้แก่ การทำแผนที่สามมิติในสถานีแบบเรียลไทม์เพื่อนำทางโดยสารและตรวจสอบความผิดปกติ, การใช้แว่น AR เพื่อช่วยหาปัญหาในการซ่อมบำรุง, และการปรับเปลี่ยนการซ่อมบำรุงจากตามรอบเวลามาเป็นการมอนิเตอร์การทำงานของชิ้นส่วนต่างๆ ว่ามีความผิดปกติหรือไม่
ที่มา - SBS Transit |
# Patreon เพิ่มระบบการโฮสต์วิดีโอของตัวเอง ครีเอเตอร์ไม่ต้องไปฝากไฟล์ไว้ที่อื่นแล้ว
Patreon เว็บไซต์ระดมทุนสำหรับครีเอเตอร์ เปิดบริการ Patreon Video สำหรับโฮสต์วิดีโอบนแพลตฟอร์มของ Patreon เองโดยตรง ครีเอเตอร์ไม่จำเป็นต้องไปฝากไฟล์ไว้บน YouTube หรือ Vimeo อีก
บริการ Patreon Video ไม่มีโฆษณา ไม่มีปัญหาคอมเมนต์เสื่อมทรามจากคนอื่นๆ ไม่ต้องสนใจอัลกอริทึมไม่แคร์เรา มีหน้าที่แค่แสดงวิดีโอเท่านั้น รองรับฟีเจอร์สำคัญๆ อย่าง picture-in-picture และการ cast ไปยังอุปกรณ์อื่น ตัวครีเอเตอร์เองสามารถตั้งค่าระยะเวลาพรีวิววิดีโอให้ชมฟรีก่อนได้
ข้อดีของการที่ Patreon มีโฮสต์วิดีโอของตัวเองคือการเชื่อมโยงกับระบบสมาชิกโดยตรง สมาชิกเพียงแค่จ่ายเงินสมัครบริการของครีเอเตอร์ แล้วก็ชมวิดีโอได้ทันที
ในฝั่งของครีเอเตอร์ (กลุ่ม Pro/Premium) เอง จะได้สิทธิอัพโหลดวิดีโอความยาวรวม 500 ชั่วโมงไปจนถึงสิ้นปี 2023 หลังจากนั้น Patreon จะประกาศราคาของการโฮสต์วิดีโออีกครั้ง
วิดีโอแนะนำ Patreon Video (บน YouTube)
ที่มา - Patreon |
# [ไม่ยืนยัน] กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ เตรียมสอบสวนดีล Adobe ซื้อ Figma ส่อผูกขาดหรือไม่
แหล่งข่าวของ POLITICO และเอกสารระบุว่า กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ (Department of Justice - DOJ) กำลังเตรียมสอบสวนเชิงลึกกรณีที่ Adobe ซื้อ Figma ด้วยมูลค่า 20,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ว่าเป็นการผูกขาดการค้าของฝั่งบริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์ออกแบบหรือไม่
แหล่งข่าวเผยว่า DOJ ได้ติดต่อไปยังลูกค้าและบริษัทคู่แข่งของ Adobe และ Figma รวมถึงบริษัทร่วมทุนของ Figma รวมทั้งยังได้ออกเอกสารที่มีลักษณะคล้ายหมายเรียกเพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องมาให้ข้อมูลดีลดังกล่าวแล้ว หลังมีความกังวลว่า Adobe จะกีดกันการแข่งขันในกลุ่มแอปพลิเคชันสำหรับกราฟฟิกและจะขึ้นราคาบริการ Figma สวนทางกับการพัฒนาแอปที่อาจจะช้าลง ซึ่งก่อนหน้านี้ Adobe ปฏิเสธและยืนยันว่า Figma จะยังมีแผนใช้งานฟรีอยู่
ไม่แน่ชัดว่า DOJ เริ่มสอบสวนครั้งนี้ตั้งแต่เมื่อใด แต่ขณะนี้ดีลดังกล่าวยังอยู่ในขั้นตอนการยื่นให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบตามกฎหมายซึ่ง DOJ อาจยืดระยะเวลาการตรวจสอบออกไปหากพบว่าดังกล่าวส่อไปในทางที่จะกีดกันการแข่งขัน ส่วนทางด้านของ Figma มองว่าบริษัทจะเติบโตได้ดีหากอยู่ภายใต้ Adobe
นอกจากนี้ แหล่งข่าวคาดว่า DOJ จะตรวจสอบข้อมูลดีลที่ Adobe ซื้อกิจการบริษัทก่อน ๆ ด้วย
ก่อนหน้านี้ Adobe ได้ยอมรับเองว่าซื้อ Figma เพราะผลิตภัณฑ์ของบริษัทอย่าง Adobe XD สู้ไม่ได้
ที่มา: POLITICO |
# จีนล็อคดาวน์เมืองเจิ้งโจวทั้งเมือง กระทบโรงงานผลิต iPhone 14 ที่ใหญ่ที่สุดของ Foxconn
รัฐบาลจีนประกาศใช้มาตรการ zero-COVID ล็อคดาวน์ทั้งเมืองเจิ้งโจว ในมณฑลเหอหนาน ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงงานผลิต iPhone ที่ใหญ่ที่สุดของ Foxconn ทำให้อาจส่งผลกระทบต่อการผลิต iPhone 14 โดยรัฐบาลประกาศล็อคดาวน์เมืองนี้เป็นเวลา 7 วันเริ่มตั้งแต่วันพุธที่ผ่านมาจนถึงวันที่ 9 พฤศจิกายน
เจ้าหน้าที่รัฐประกาศผ่าน WeChat ว่า สนามบินของเมืองจะปิดให้บริการและเปิดอีกทีในวันที่ 9 พฤศจิกายนรวมทั้งบริการขนส่งสาธารณะจะหยุดให้บริการและให้คนในเมืองเจิ้งโจวที่มีราว 10 ล้านคนทำงานที่บ้านแทน รัฐบาลจะลงโทษผู้ฝ่าฝืนอย่างเด็ดขาด
การล็อคดาวน์ส่งผลกระทบต่อโรงงานของ Foxconn ซึ่งเป็นซัพพลายเออร์ของ Apple และมีพนักงานในโรงงานราว 200,000 คน ซึ่งก่อนหน้านี้ Foxconn ก็ได้ประกาศเพิ่มโบนัสเพื่อจูงใจให้พนักงานไม่ลาหยุดเพื่อผลิต iPhone 14 ให้ทันขาย
Foxconn เผยว่าตัวเลขพนักงานผู้ติดเชื้อโควิด-19 มีจำนวนน้อยและโรงงานได้จัดหาอุปกรณ์เครื่องใช้จำเป็นและได้ดูแลด้านจิตใจของพนักงาน แต่พนักงานของ Foxconn คนหนึ่งได้เผยกับ Financial Times ว่า เหตุการณ์ภายในโรงงานกำลังวุ่นวาย พื้นที่รอบ ๆ โรงงานถูกปิดหลายวัน ภายในมีพนักงานที่ติดเชื้อและต้องกักตัวและมีการตรวจโควิดทุกวัน
นอกจากนี้ ยังมีวิดีโอจากผู้สื่อข่าวจีนของ BBC แสดงให้เห็นภาพคนงานหลบหนีออกจากโรงงานและเดินเท้ากลับบ้านเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกจับได้บนระบบขนส่งสาธารณะเพราะไม่ต้องการถูกกักบริเวณอยู่ภายในโรงงาน
Foxconn กล่าวว่ากำลังปรึกษากับรัฐบาลท้องถิ่นเพื่อให้บริการส่งพนักงานในโรงงานกลับบ้าน ซึ่งไม่แน่ว่าพนักงานจะสามารถกลับบ้านได้หรือไม่จากมาตรการล็อคดาวน์นี้
ในสัปดาห์ที่ผ่านมา เมืองเจิ้งโจวมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 จำนวน 167 คนจาก่อนหน้านี้ที่มี 97 คนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
ที่มา: BBC |
# [ไม่ยืนยัน] Elon Musk อาจทำให้ผู้ใช้แก้ไข Twitter ได้ทุกคนโดยไม่ต้องสมัคร Twitter Blue
แหล่งข่าวของ Bloomberg ระบุว่า Musk มีแผนที่จะให้ผู้ใช้ทุกคนสามารถแก้ไขทวิตของตนเองได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายและเป็นไปได้ว่าจะสามารถใช้ได้เลยภายในสัปดาห์นี้ ขณะนี้มีเพียงผู้ใช้ Twitter Blue ในไม่กี่ประเทศเท่านั้นที่สามารถแก้ไขทวิตได้
หลังจากที่ Elon Musk เข้ามาเป็นซีอีโอของ Twitter ก็ได้เปลี่ยนแปลงระบบหลายอย่างรวมถึงการเปลี่ยนแปลงระบบ Twitter Blue และล่าสุดก็มีข่าวว่า Musk จะให้บริการ Twitter Blue รายเดือนราคา 8 เหรียญสหรัฐฯ
ที่มา: Bloomberg via The Verge |
# YouTube จัดให้! รวมมิตรช่องสตรีมมิ่ง 30 เจ้า มัดรวมกันมาให้เลือกชมตามใจ
หลังจากลือมาได้สักพักเกี่ยวกับหน้าร้านขายบริการสตรีมมิ่งสารพัดขาย ตอนนี้ YouTube ก็เปิดตัว Primetime Channels แหล่งรวมช่องสตรีมมิ่งต่างๆ 30 รายเข้าไว้ด้วยกันให้ผู้ใช้เลือกชมเนื้อหาต่างๆ ได้จากภายใน YouTube แล้ว
Primetime Channels จะเริ่มให้บริการแก่ผู้ใช้ YouTube ในสหรัฐอเมริกาก่อนเป็นประเทศแรก ในแพลตฟอร์มแรกเริ่มนี้ประกอบไปด้วยช่องสตรีมมิ่งทั้งภาพยนตร์, กีฬา อาทิ Paramount+, AMC+, STARZ, SHOWTIME เป็นต้น
รายชื่อช่องที่มีบน Primetime Channels ตอนนี้
ํYouTube บอกว่าจะหาพันธมิตรเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มช่องรายการบนแพลตฟอร์ม และจะขยายบริการให้ผู้ใช้ในประเทศอื่นๆ ทั่วโลกในไม่ช้า
ที่มา - YouTube Official Blog |
# Xiaomi โชว์คอนเซปต์สมาร์ทโฟน 12S Ultra อีกแบบที่ติดเลนส์กล้องใหญ่ Leica M ได้
Xiaomi เปิดตัวสมาร์ทโฟน Xiaomi 12S Ultra ไปเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา หนึ่งในจุดเด่นของเรือประจำครึ่งปีหลังของ Xiaomi นี้ก็คือเซ็นเซอร์กล้องที่มีขนาดใหญ่ถึง 1 นิ้ว ที่เกิดจากความร่วมมือกับ Leica ในการพัฒนากล้องถ่ายภาพ
ล่าสุด Xiaomi ได้เผยคลิปวิดีโอที่โชว์ต้นแบบ Xiaomi 12S Ultra concept แฝดคนละฝาของสมาร์ทโฟนรุ่นล่าที่ได้รับการพัฒนาควบคู่กันเป็นอีกเวอร์ชั่นที่หลอมรวมกับเทคโนโลยีของ Leica ไปอีกขั้น ด้วยการออกแบบสมาร์ทโฟนให้สามารถติดเลนส์ถ่ายภาพของกล้องมิเรอร์เลส Leica M เข้าไปได้ด้วย เพื่อการถ่ายภาพที่จริงจังยิ่งขึ้น
Xiaomi 12S Ultra concept มีเซ็นเซอร์รับภาพขนาด 1 นิ้วอีกอันที่ปราศจากการครอบทับด้วยเลนส์ถ่ายภาพของตัวสมาร์ทเอง ด้านหน้าเซ็นเซอร์มีเพียงแผ่นกระจกแซฟไฟร์ครอบทับเพื่อช่วยป้องกันเซ็นเซอร์จากการกระแทกและการถูกขูดขีด ด้านนอกตัวเครื่องบริเวณรอบๆ เซ็นเซอร์รับภาพมีฐานสำหรับสวมข้อต่อเพื่อติดเลนส์ถ่ายภาพของ Leica M
ด้านซอฟต์แวร์ของ Xiaomi 12S Ultra concept ก็จัดเต็มกับแอปถ่ายภาพเพื่อให้รองรับการใช้งานแบบมือโปร ทั้งโหมด focus peaking ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถใช้เลนส์จับโฟกัสภาพได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น, zebra lines ที่ช่วยให้ผู้ใช้รับรู้เรื่องการเปิดรับแสงของกล้องเพื่อให้ปรับตั้งค่าไม่ให้รับแสงมากเกินไป, กราฟ histogram และเครื่องมืออื่น โดยภาพที่ได้จะเป็นไฟล์ RAW แบบ 10-bit
ตัว Xiaomi 12S Ultra concept ยังมีเซ็นเซอร์รับภาพหลักขนาด 1 นิ้วครอบทับด้วยเลนส์อุลตร้าไวด์ 13 mm เหมือน 12S Ultra รุ่นปกติ ที่ใช้งานแบบการถ่ายภาพด้วยสมาร์ทโฟนตามปกติได้ด้วย ฉะนั้นต้องบอกว่าฟีเจอร์การต่อเลนส์กล้องใหญ่นั้นเป็นสิ่งที่ไม่ได้มาแทนที่ระบบถ่ายภาพแบบปกติของมัน แต่เป็นสิ่งที่เพิ่มเข้ามากต่างหาก
แนวคิดการออกแบบของ Xiaomi 12S Ultra concept นี้ถือเป็นแนวทางเฉพาะตัวที่แตกต่างจากสมาร์ทโฟน Android รุ่นอื่นที่เคยมีก่อนหน้า เพราะสมาร์ทโฟนเหล่านั้นออกแบบโดยมองเลนส์เป็นอุปกรณ์เสริมให้สวมครอบทับเลนส์หลักของตัวสมาร์ทโฟนที่ติดตั้งฝังอยู่ในตัวเครื่องอยู่ก่อนแล้ว และแน่นอนว่าหากเปรียบเทียบกับกล้องถ่ายภาพที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Android ซึ่งมาพร้อมฟังก์ชั่นการโทรที่เคยผลิตกันมาก่อนหน้านี้ ก็มีจุดต่างที่สำคัญคือ Xiaomi 12S Ultra concept นั้นสามารถถอดแยกตัวเลนส์ออกไปให้เหลือเพียงแค่ตัวเครื่องสมาร์ทโฟนเพรียวบางก็ยังใช้งานได้เหมือนกันในขณะที่กล้องเหล่านั้นถอดเลนส์ออกไม่ได้
Xiaomi ไม่ได้ระบุว่าจะมีการผลิต Xiaomi 12S Ultra concept ออกขายจริงหรือไม่ ซึ่งก็เป็นไปได้ว่านี่อาจเป็นแค่การโชว์ไอเดียเฉยๆ มากกว่าจะผลิตเป็นสินค้าออกมาขายจริง
หากใครสนใจและอยากรู้ว่าไฟล์ภาพที่ได้จากการถ่ายจริงของ Xiaomi 12S Ultra concept สามารถเข้าไปดูตัวอย่างภาพถ่ายได้ในเว็บไซต์ของ GSMArena ซึ่งมีตัวอย่างภาพถ่ายให้ดูทั้งภาพสีและภาพขาวดำรวม 8 ภาพ
ที่มา - GSMArena |
# Gmail ออกฟีเจอร์ใหม่ในสหรัฐฯ แสดงสถานะพัสดุที่สั่งในช่อง inbox
Gmail ออกฟีเจอร์ใหม่โดยจะแสดงเลขพัสดุ (tracking number) และสถานะของพัสดุรวมถึงวันที่คาดว่าพัสดุจะมาถึงผู้รับด้านบนช่อง inbox ของ Gmail เลยโดยที่ผู้ใช้ไม่ต้องกดลิงก์เข้าสู่เว็บไซต์ภายนอกเพื่อติดตามสถานะพัสดุ ฟีเจอร์นี้สามารถใช้ได้กับบริษัทขนส่งในสหรัฐฯ เกือบทุกแห่ง
ผู้ใช้จะต้องกดอนุญาตเพื่อให้ Gmail เปิดใช้งานฟีเจอร์นี้ก่อน โดยจะมีแถบขึ้นในช่อง inbox ที่มีหัวข้อว่า “Track your package in Gmail” และมีตัวเลือกให้ผู้ใช้อนุญาตและไม่อนุญาตให้เปิดใช้งานฟีเจอร์
นอกจากนี้ ในอนาคตฟีเจอร์นี้จะแสดงสถานะให้ผู้ใช้รู้ด้วยเมื่อของจะมาส่งช้ากว่ากำหนด
ที่มา: Google |
# [ไม่ยืนยัน] Elon Musk เตรียมปลดพนักงาน Twitter ออก 3,700 คน หรือ 50% ของบริษัท
Bloomberg รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวใกล้ชิด Twitter ว่า Elon Musk มีแผนจะปลดพนักงานออกราว 3,700 คน หรือประมาณครึ่งบริษัท และเตรียมแจ้งต่อพนักงานในวันศุกร์นี้
ตัวเลขการปลดพนักงานของ Twitter มีกระแสออกมาเรื่อยๆ โดยตัวเลขแรกสุดคือ 75% ซึ่ง Musk ออกมาปฏิเสธแล้วว่าไม่จริง และเมื่อไม่กี่วันก่อน Wall Street Journal อ้างแหล่งข่าวว่าจะปลด 25%
ที่มา - Bloomberg |
# PowerToys 0.64 เพิ่มตัวแก้ไขไฟล์ Hosts ของวินโดวส์, ตัวดูว่าโพรเซสไหนล็อคไฟล์ไว้
Microsoft PowerToys ออกเวอร์ชันใหม่ 0.64 เพิ่มเครื่องมือใหม่อีก 2 ตัวที่ควรใส่ไว้ใน OS หลักมากๆ ได้แก่
Hosts File Editor ไม่ต้องไปนั่งควานหาไฟล์ hosts เพื่อมาแก้ไขเองอีกแล้ว เพราะไมโครซอฟท์ทำตัว Editor มาให้ใช้งานแบบมี UI พร้อมสรรพ
File Locksmith เอาไว้ดูได้ว่าโพรเซสไหนกำลังอ่านหรือเขียนไฟล์นั้นอยู่ ทำให้เราไม่สามารถลบหรือแก้ไขไฟล์ได้ และสามารถสั่ง End task เพื่อคลายล็อคไฟล์ที่ต้องการใช้งาน
นอกจากนี้ตัว Settings ของ PowerToys เพิ่มการรองรับ backup/restore ไฟล์คอนฟิกแล้ว สำหรับคนที่อยากย้ายเครื่องก็ทำได้ง่ายขึ้นด้วย
ที่มา - PowerToys via Neowin |
# WordPress 6.1 ออกแล้ว
WordPress ออกเวอร์ชัน 6.1 โค้ดเนม Misha ตั้งชื่อตามนักเปียโนชาวรัสเซีย Mikhail “Misha” Alperin ตัวอย่างของใหม่ในเวอร์ชันนี้ได้แก่
ธีมใหม่ Twenty Twenty-Three รองรับการปรับสไตล์ย่อยได้ 10 แบบ
เพิ่มเทมเพลตใหม่ใน Site Editor, รองรับการทำ search/replace แก้ไขเทมเพลตง่ายขึ้น
เพิ่มการล็อคบล็อค ไม่ให้แก้ไขค่าของบล็อคในกลุ่มเดียวกันทั้งหมด
รองรับ Fluid Typography ธีมสามารถกำหนดขนาดฟอนต์ให้สเกลตามขนาดหน้าต่าง
ที่มา - WordPress.org |
# Google เพิ่มปุ่ม Lens ในกล่องเสิร์ชที่หน้าแรกของเว็บ
กูเกิลเพิ่มปุ่มค้นหาด้วยรูปภาพหรือ Lens ในหน้าโฮมเพจของกูเกิล ทำให้ผู้ใช้งานสามารถเพิ่มตัวเลือกค้นหาจากภาพได้โดยตรงในกล่องเสิร์ช
Rajan Patel รองประธานฝ่ายวิศวกรรมของกูเกิล ที่ดูแลผลิตภัณฑ์เสิร์ชและ Lens ทวีตอธิบายเพิ่มเติมว่า หน้าแรกของกูเกิลจะไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงบ่อยนัก แต่การเปลี่ยนแปลงนี้มีความสำคัญ เพราะเราเพิ่มวิธีการถามให้กับผู้ใช้งาน และเราก็ปรับปรุงการให้คำตอบ ซึ่งทำได้จบในหน้าเดสก์ท็อป
Google Lens เปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2017 และปัจจุบันฟีเจอร์นี้ถูกนำมาใส่ในหลายผลิตภัณฑ์ทั้ง Google Photos, Chrome และจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
ที่มา: TechCrunch |
# Qualcomm ไตรมาสล่าสุด รายได้ยังเติบโตสูง แม้มองตลาดสมาร์ทโฟนหดตัว
Qualcomm รายงานผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 4 ตามปีการเงินบริษัท 2022 สิ้นสุดเดือนกันยายน มีรายได้รวมตามบัญชี GAAP ที่ 11,396 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 22% เทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีก่อน มีกำไรสุทธิ 2,873 ล้านดอลลาร์
ธุรกิจชิป QCT มีรายได้เพิ่มขึ้น 28% เป็น 9,904 ล้านดอลลาร์ โดยมีการเติบโตสูงจากกลุ่มโทรศัพท์มือถือและ IoT ขณะที่ธุรกิจขายไลเซนส์ QTL มีรายได้ลดลง 8% เป็น 1,441 ล้านดอลลาร์
ประเด็นน่าสนใจคือการประเมินรายได้ของบริษัทในไตรมาสถัดไป โดยมองว่ายอดขายสมาร์ทโฟนทั้ง 3G/4G/5G ตลอดปีปฏิทิน 2022 จากเดิมบริษัทมองว่าลดลงระดับเปอร์เซนต์หลักเดียวเลขกลาง มาเป็นเลขสองหลักต้น ผลกระทบหลักมาจากการขาดแคลนชิ้นส่วนทั้งอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ นอกจากนี้ตัวแทนของ Qualcomm ยังให้ข้อมูลว่าบริษัทเริ่มหยุดการรับพนักงานใหม่ มีผลแล้วตั้งแต่ไตรมาสปัจจุบัน
ที่มา: Qualcomm (pdf) และ CNBC |
# Airbnb ไตรมาสล่าสุด เติบโตตามการเปิดเมือง การจองที่พักข้ามประเทศเพิ่มขึ้น 58%
Airbnb รายงานผลประกอบการของไตรมาสที่ 3 ปี 2022 จำนวนการเข้าพักเพิ่มขึ้น 25% เมื่อเทียบกับปีที่แล้วเป็น 99.7 ล้านคืน ซึ่ง Airbnb บอกว่าเป็นการเติบโตในทุกภูมิภาคทั่วโลก มีมูลค่ารวมของการจองที่พัก หรือ Gross Booking Value 15.6 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 30% คิดเป็นรายได้ของบริษัท 2,884 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 29% และมีกำไรสุทธิ 1,214 ล้านดอลลาร์
Airbnb บอกว่าความต้องการที่พักยังคงแข็งแกร่ง รวมทั้งโมเดลแบบใหม่ที่ Airbnb พยายามผลักดัน เช่น การพักแบบระยะยาว หรือการพักในเมืองรอง สามารถตอบสนองความต้องการผู้คนที่ต้องการทั้งที่พักและย้ายที่ทำงานได้ นอกจากนี้บริษัทยังเห็นแนวโน้มการสมัครเป็นโฮสต์ที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้คนต้องการรายได้เสริมในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ จึงทำให้ Airbnb มีที่พักหลากหลายมากขึ้น
ตัวเลขอื่นที่น่าสนใจ การจองที่พักข้ามประเทศ มีจำนวนเพิ่มขึ้น 58% จำนวนคนที่พักแบบระยะยาวเพิ่มขึ้น 20%
ที่มา: Airbnb (pdf) |
# เกาะเจจูประเทศเกาหลีใต้จะเริ่มให้บริการรถแท็กซี่ไร้คนขับในสัปดาห์นี้
เมื่อเดือนสิงหาคมทางการเกาหลีใต้ได้ประกาศแผนพัฒนาโครงการโดรนแท็กซี่ให้แก่นักท่องเที่ยวภายในปี 2025 แต่ก่อนจะถึงวันนั้นบริการแท็กซี่แบบใหม่ที่จะเปิดให้บริการก่อนบนเกาะก็คือระบบรถแท็กซี่ไร้คนขับ และบริการที่ว่าจะเริ่มทันทีในสัปดาห์นี้
กระทรวงคมนาคมของเกาหลีใต้ให้ข้อมูลว่ารถแท็กซี่ไร้คนขับจะให้บริการใน 2 เส้นทาง โดยเส้นทางแรกเป็นวิ่งรับ-ส่งผู้โดยสารระหว่างสนามบินนานาชาติกับถนนเลียบชายฝั่งของเกาะซึ่งจะผ่านจุดท่องเที่ยวที่สำคัญคือ หินยงโดม (หินหัวมังกร) และหาด Iho Tewoo รวมระยะทาง 16 กิโลเมตร ส่วนเส้นทางให้บริการอีกเส้นทางหนึ่งจะวิ่งเป็นระยะทาง 5 กิโลเมตร ภายในย่าน Jungnum ซึ่งอยู่ทางใต้ของเกาะ
ในการให้บริการเส้นทางเดินรถเส้นทางที่ 2 นั้น ผู้โดยสารสามารถเรียกรถให้ไปรับและส่งในเขตพื้นที่ "last mile" จากป้ายจอดรถประจำทางได้โดยอิสระ ซึ่งหมายถึงพื้นที่ระยะรัศมี 2 กิโลเมตรรอบจุดจอดรถประจำทาง ซึ่งสำหรับคนส่วนใหญ่แล้วระยะประมาณนี้อาจถือว่าเป็นระยะที่ใกล้เกินไปไม่เหมาะที่จะขับรถไปเอง แต่ก็ไกลเกินว่าจะเดิน
นอกจากการเตรียมรถไว้ให้บริการแล้ว ทางการได้เตรียมระบบจราจรเพื่อเสริมความปลอดภัยในการให้บริการแท็กซี่ไร้คนขับนี้ด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะในย่านชุมชนที่มีการจราจรคับคั่งและเต็มไปด้วยพาหนะและผู้คนที่เดินทางด้วยวิธีการหลากหลาย ทั้งรถบัสโดยสาร, รถเช่าที่ขับกันมากมาย, รถจักรยานยนต์ โดยระบบจราจรที่พัฒนาขึ้นนี้เรียกว่า C-ITS (Next-Generation Intelligent Traffic System) จะถูกติดตั้งและให้การสนับสนุนการทำงานของรถแท็กซี่ไร้คนขับตามทางแยกต่างๆ เพื่อช่วยแจ้งข้อมูลให้รถไร้คันขับได้รู้ข้อมูลอุบัติเหตุทางจราจรที่เกิดขึ้นในพื้นที่ใกล้เคียง รวมทั้งช่วยแจ้งเตือนหากมีการตรวจพบคนแอบข้ามถนนทางทางข้าม
กระทรวงคมนาคมจะเป็นผู้รับผิดชอบการให้บริการรถแท็กซี่ไร้คนขับนี้ โดยเตรียมรถไว้ทั้งหมด 3 คัน และจะให้บริการโดยสารฟรีแก่ผู้ใช้งานจนถึงปีหน้า ช่วงเวลาการให้บริการนั้นคือตั้งแต่ 10.30 น. ถึง 18.30 น. ในแต่ละวัน ซึ่งรถยนต์ที่นำมาให้บริการนี้เป็นรถ Hyundai Ioniq
หน้าตารถแท็กซี่ไร้คนขับที่จะเริ่มให้บริการในเกาะเจจูสัปดาห์นี้
ในการใช้งานผู้โดยสารเพียงเรียกรถ และเมื่อขึ้นรถแล้วก็สามารถเลือกเป้าหมายการเดินทางได้ตามเส้นทางวิ่งให้บริการ ในระหว่างการให้บริการซึ่งถือเป็นการทดสอบระบบนี้ จะมีเจ้าหน้าที่นั่งอยู่บนรถด้วยเผื่อในกรณีเกิดเหตุขัดข้องหรือมีสถานการณ์ฉุกเฉิน
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการให้บริการถแท็กซี่ไร้คนขับในเกาะเจจู โดยเมื่อปีที่แล้วทางการเกาะเจจูได้ร่วมมือกับสตาร์ทอัพท้องถิ่นที่ชื่อ Ride Flux ทดลองให้บริการรถแท็กซี่ไร้คนขับมาก่อนแล้ว ส่วนในกรุง Seoul เมืองหลวงก็มีการทดลองให้บริการรถแท็กซี่ไร้คนขับของ Hyundai มาก่อนหน้านี้แล้วเช่นกัน โดยใน Seoul นั้นมีรถจำนวนมากกว่า 190 คันให้บริการตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา
ที่มา - The Korea Herald, News Jeju, The Korea Economic Daily |
# Meta เปิดปัญญาประดิษฐ์ทำนายโครงสร้างโปรตีน พร้อมฐานข้อมูลโครงสร้าง 600 ล้านชุด
Meta เปิดตัวปัญญาประดิษฐ์ทำนายโครงสร้างโปรตีนพร้อมกับฐานข้อมูลโครงสร้างโปรตีนทั้งหมดที่ทำนายได้กว่า 600 ล้านรายการ โดยงานวิจัยของ Meta เน้นไปที่ความเร็วในการทำนายว่าสามารถทำนายทั้งหมดภายในเวลาเพียง 2 สัปดาห์ หรือประมาณ 500 โปรตีนต่อวินาที บนชิปกราฟิก 2,000 ชุด เทียบกับ AlphaFold ที่เคยเปิดฐานข้อมูลแบบเดียวกันมาก่อนหน้านี้ แต่กระบวนการทำนายของ AlphaFold นั้นโปรตีนแต่ละตัวใช้เวลาคำนวณนับนาที
แนวทางของ Meta พัฒนาปัญญาประดิษฐ์โดยมองโปรตีนเป็นข้อความเหมือนบทความ ก่อนหน้านี้ Meta เคยพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ที่ทำนายกรดอมิโนที่ขาดหายไป และพบว่าโมเดลปัญญาประดิษฐ์เริ่มมีข้อมูลโครงสร้างภายในของโปรตีนอยู่ในโมเดลที่ฝึกได้ เมื่อใช้โมเดลใหญ่ขึ้นถึง 15 พันล้านพารามิเตอร์ก็พบว่าภายในโมเดลมีโครงสร้างสามมิติของโปรตีนอยู่ การใช้โมเดลปัญญาประดิษฐ์แบบนี้ต่างจาก AlphaFold ที่อาศัยการค้นฐานข้อมูลโปรตีนมาเป็นอินพุตทำให้ทำงานช้ากว่ามาก
ฐานข้อมูลโปรตีนทั้งหมดอยู่ที่เว็บไซต์ ESM Metagenomicss Atlas ตัวโค้ดเปิดซอร์สบน GitHub
ที่มา - Meta |
# กูเกิลพัฒนาปัญญาประดิษฐ์เขียนโค้ดควบคุมหุ่นยนต์ตามคำสั่ง เปิดทางสั่งหุ่นยนต์ง่ายคล้ายสั่งคน
กูเกิลเปิดโมเดลปัญญาประดิษฐ์ Code as Policies (CaP) ที่ใช้เขียนโค้ดจากคำบรรยายภาษาคนปกติให้กลายเป็นโค้ดสำหรับการสั่งงานหุ่นยนต์เท่านั้น หลังจากนั้นนำโค้ดในรันบนหุ่นยนต์จริงทำให้กลายคำสั่งภาษาธรรมชาติตามปกติก็สามารถสั่งหุ่นยนต์ให้ทำงานที่ซับซ้อนได้
การใช้ CaP แปลงคำสั่งเป็นโค้ด Python ก่อนทำให้สามารถสั่งหุ่นยนต์ได้ซับซ้อนกว่าเดิมมากโดยไม่ต้องฝึกล่วงหน้า นอกจากนี้ยังสามารถตอบคำถามได้ เช่น “มีลูกบาศก์ในชามสีส้มกี่ชิ้น” CaP สามารถเขียนโค้ดให้หุ่นยนต์ตรวจสอบสภาพแวดล้อมและตอบคำถามได้ ความสามารถสำคัญของ CaP คือสามารถสร้างโค้ดให้กับหุ่นยนต์ที่มีความสามารถต่างกัน โดยกำหนดการกระทำ (action) ที่สามารถทำได้ และ CaP จะสร้างโค้ดที่ทำงานได้เหมือนกันตามข้อจำกัดของคำสั่งที่มี
ข้อจำกัดคือ CaP นั้นเป็นปัญญาประดิษฐ์สร้างโค้ดควบคุมหุ่นยนต์เท่านั้น การควบคุมหุ่นยนต์จริงต้องอาศัย API จากปัญญาประดิษฐ์อื่น เช่น ระบบตรวจจับวัตถุ หากไม่สามารถบรรยายวัตถุที่ซับซ้อน (เช่น “หาของรูปร่างเหมือนตัว C”) ก็จะไม่สามารถแปลงคำสั่งเป็นโค้ดที่ใช้งานได้ รวมถึงคำสั่งที่แปลงได้แม้จะซับซ้อนพอสมคารแต่ก็มีข้อจำกัด เช่น ไม่สามารถรับคำสั่งให้สร้างบ้าน
โครงการนี้เปิดเป็นโอเพนซอร์ส พร้อมมีเว็บตัวอย่างคำสั่งและโค้ดที่ CaP แปลงออกมาได้
ที่มา - Google AI Blog |
# แว่นแพงกว่าเครื่อง โซนี่เปิดราคา PSVR2 549.99 ดอลลาร์ ขาย 22 ก.พ. 2023
โซนี่ทยอยเปิดข้อมูลของ PlayStation VR2 มาตั้งแต่ต้นปี 2021 ล่าสุดก็ประกาศข้อมูลชุดสุดท้ายคือราคา 549.99 ดอลลาร์ (แพงกว่าค่าเครื่อง PS5 ที่ขาย 499.99 ดอลลาร์) และวันวางขายจริง 22 กุมภาพันธ์ 2023
แพ็กเกจมาตรฐานของ PSVR2 ประกอบด้วยตัวแว่น PSVR2, คอนโทรลเลอร์ Sense 1 ชุด และหูฟังสเตอริโอ แต่ก็ยังมีชุดบันเดิลกับเกม Horizon Call of the Mountain ในราคา 599.99 ดอลลาร์ด้วย
อุปกรณ์เสริมอื่นที่เปิดตัวมาพร้อมกันคือ แท่นชาร์จคอนโทรลเลอร์ PlayStation VR2 Sense controller charging station ในราคา 49.99 ดอลลาร์
สำหรับผู้ที่สนใจอ่านประสบการณ์ลองเล่น PSVR2 ของจริง อ่านได้จากบทความ ทดลองเล่น PlayStation VR2 ของจริงในงาน TGS2022 โดยคุณ magiP
นอกจากเกมเด่นๆ ของ PSVR2 อย่าง Horizon Call of the Mountain และ Resident Evil Village โหมด VR แล้ว โซนี่ยังประกาศเกม VR ใหม่เพิ่มอีก 11 เกม (รายชื่อทั้งหมด) ที่เด่นๆ ได้แก่
The Dark Pictures: Switchback VR (Supermassive Games)
Crossfire: Sierra Squad (Smilegate)
The Light Brigade (Funktronic Labs)
Cities VR – Enhanced Edition (Fast Travel Games)
Jurassic World Aftermath Collection (Coatsink)
ที่มา - PlayStation Blog |
# Meta จับมือ ททท. สร้างฟิลเตอร์ AR ท่องเที่ยวไทยบน Instagram, นิทรรศการที่ TCDC
Meta ประเทศไทย ร่วมมือกับ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดตัวแคมเปญ Rediscover Thailand - ท่องเที่ยวไทย ประสบการณ์ใหม่ผ่าน AR เพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวไทย
แคมเปญนี้ประกอบด้วย 2 ส่วนคือ
นิทรรศการออฟไลน์ที่ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ (TCDC) ระหว่าง 2-30 พ.ย. นำเสนอผลงาน AR ท่องเที่ยวไทยภาคต่างๆ จำนวน 9 ชิ้นจากครีเอเตอร์ชาวไทย 5 คน
ฟิลเตอร์ AR เหล่านี้สามารถใช้ได้ผ่าน Instagram ของบัญชี @TourismThailand
หน้าตาของงาน AR ดูได้จาก Rediscover Thailand |
# YouTube เปิดตัวบริการ Super Chat, Super Stickers และ Super Thanks อย่างเป็นทางการในไทย
YouTube ไทยประกาศให้บริการช่องทางใหม่ให้ผู้ชมสนับสนุนและสร้างรายได้ให้กับครีเอเตอร์ เพิ่มเติมจากช่องทางการสมัครสมาชิกช่องที่เปิดบริการมาตั้งแต่ปี 2020 ได้แก่
Super Chat บริการในไลฟ์แชทเมื่อครีเอเตอร์ไลฟ์สตรีม ผู้ชมสามารถจ่ายเงินเพื่อทำให้คอมเมนต์ในไลฟ์แชทของตัวเองมีสีสันสดใสและคอมเมนต์จะถูกปักหมุดเป็นเวลา 5 ชั่วโมงเพื่อให้ครีเอเตอร์เห็นได้ง่ายขึ้น
Super Stickers ผู้ชมสามารถซื้อสติ๊กเกอร์เพื่อส่งทางช่องแชทในไลฟ์สตรีมให้กับครีเอเตอร์ซึ่งสติ๊กเกอร์มีครอบคลุมหลายภาษา
Super Thanks ผู้ชมสามารถสนับสนุนครีเอเตอร์ผ่านวิดีโอที่ไม่ใช่ไลฟ์สตรีมได้ โดยกด Thanks ที่อยู่ด้านล่างของวิดีโอและสามารถเพิ่มข้อความอื่น ๆ ไปพร้อมกันได้ ข้อความจะถูกไฮไลท์ในส่วนคอมเมนต์ด้านล่างวิดีโอ
บริการ Super เป็นช่องทางหารายได้ของครีเอเตอร์บน YouTube อีกช่องทางหนึ่งโดยจะไม่กระทบกับรายได้จากการโฆษณาและการสมัครสมาชิกรายเดือน ค่าบริการจะคิดเป็นรายครั้งเริ่มต้นที่ครั้งละ 19 บาท โดยครีเอเตอร์จะได้รับรายได้ 70% ส่วนอีก 30% จะหักส่วนแบ่งให้ทาง YouTube
บริการทั้ง 3 อย่างสามารถใช้ได้แล้วตั้งแต่วันนี้ทั้งในระบบ iOS, Android และบนหน้าเว็บไซต์ |
# Modern Warfare II เปิดตัวสวยงาม สร้างสถิติรายได้ใหม่ 800 ล้านดอลลาร์ใน 3 วันแรก
Activision Blizzard ออกมาเผยสถิติรายได้ของเกม Call of Duty: Modern Warfare II ช่วง 3 วันแรกที่เปิดขาย (เริ่มขาย 28 ต.ค.) ทำเงินไปได้ 800 ล้านดอลลาร์ กลายเป็นสถิติใหม่ของแฟรนไชส์ ทำลายสถิติเดิมของ Modern Warfare 3 ที่ทำไว้ในปี 2011 (800 ล้านดอลลาร์เท่ากัน ใช้เวลา 5 วัน)
ตัวเลขรายได้ 800 ล้านดอลลาร์ในช่วง 3 วันแรก ยังถือเป็นสถิติสูงสุดของแฟรนไชส์ความบันเทิงทุกประเภทในปี 2022 (เป็น the highest grossing entertainment opening โดยยอดขายเกมแซงหนังมานานแล้ว) ถ้าเอายอดรายได้ของภาพยนตร์ Top Gun: Maverick กับ Doctor Strange in the Multiverse of Madness ช่วง 3 วันแรกมารวมกัน ยังแพ้ Modern Warfare II ด้วยซ้ำ
Activision ยังมีแผนทำเงินต่อเนื่องอีกมาก เกมเล่นฟรี Call of Duty: Warzone 2.0 จะออกวันที่ 16 พฤศจิกายนนี้ และในปีหน้า 2023 จะมีเนื้อหาอัพเดตอื่นๆ ของ Modern Warfare II ตามมาอีก
เห็นรายได้ของแฟรนไชส์ Call of Duty แล้ว อาจไม่ต้องแปลกใจที่ Activision แทบไม่ทำเกมอื่นอีกแล้ว และโอนทุกสตูดิโอในเครือมาช่วยกันทำ Call of Duty อย่างเดียว
ที่มา - Activision Blizzard, VGC |
# ลาก่อน Google Hangouts ปิดบริการถาวรแล้ว ย้ายไปเป็น Google Chat
เมื่อวานนี้ 1 พฤศจิกายน 2022 กูเกิลปิดบริการแชท Hangouts เวอร์ชันเว็บอย่างถาวร ตามที่เคยประกาศไว้ล่วงหน้า ถือเป็นจุดสิ้นสุดของบริการ Hangouts ที่เกิดมาตั้งแต่ยุค Google+ และกลายเป็นบริการแยกในปี 2013
ในแง่การใช้งานคงไม่มีผลมากนัก เพราะมีบริการตัวใหม่ Google Chat (Hangouts เวอร์ชันองค์กร) มาตั้งแต่ปี 2017 การเข้าใช้งาน hangouts.google.com จะถูก redirect ไปเป็น chat.google.com แทน
ส่วนผู้ใช้ Hangouts เดิมที่อยากได้ข้อความแชทมาดาวน์โหลดเก็บไว้ ยังสามารถดาวน์โหลดได้จากบริการ Google Takeout จนถึงสิ้นปี 2022
ที่มา - Google, 9to5google |
# อินเทลประกาศวันขาย Xeon Scalable รุ่นที่ 4 Sapphire Rapids เดือนมกราคม 2023
อินเทลประกาศวันวางขายซีพียูเซิร์ฟเวอร์ Xeon Scalable "Sapphire Rapids" วันที่ 10 มกราคม 2023 หลังจากเปิดตัวครั้งแรกเดือนสิงหาคม 2021 แล้วเลื่อนมาเรื่อยๆ ไม่จบไม่สิ้น
Sapphire Rapids ถือเป็น Xeon Scalable 4th Gen ที่เว้นระยะห่างจาก Xeon Scalable 3rd Gen "Ice Lake" นานถึง 3 ปี (3rd Gen ออกปี 2020) ช่องว่างของการออกผลิตภัณฑ์นี้ทำให้ AMD เข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาดซีพียูเซิร์ฟเวอร์ได้ไม่น้อย และ ปลายปีนี้ก็จะออก Epyc 4th Gen มาตัดหน้าได้อีกด้วย
ซีพียู Sapphire Rapids ใช้สถาปัตยกรรมแบบเดียวกับซีพียูอินเทลรุ่นหลังๆ นับตั้งแต่ Alder Lake มาคือเป็นสถาปัตยกรรมแบบแยกชิ้นส่วนมาประกอบกัน (multi-tile), ใช้แกน P-core ตัวเดียวกับ Alder Lake มีหน่วยประมวลผลเมทริกซ์ AMX (ซีพียู Xeon เน้นแรง ไม่มี E-core), รองรับแรม DDR5 และ PCIe 5.0
อินเทลยังมีแผนการออก Xeon ในอนาคตอีกหลายตัว ถัดจาก Sapphire Rapids เป็นคิวของ Emerald Rapids แต่ระยะเวลาก็คงเลื่อนไปจากเดิมอีก
ที่มา - Intel, The Register |
# Embracer ปิดสตูดิโอ Onoma (Square Enix Montreal เดิม) หลังรีแบรนด์ใหม่ไม่ถึงเดือน
กลุ่มบริษัทเกมยักษ์ใหญ่ Embracer Group ปิดสตูดิโอ Onoma หรือชื่อเดิม Square Enix Montreal ที่เพิ่งซื้อต่อมาจาก Square Enix ได้ไม่นาน
ความเดิมคือ Square Enix ขายสตูดิโอฝั่งอเมริกาเหนือ 3 แห่งคือ Crystal Dynamics, Eidos Interactive, Square Enix Montreal ให้กับ Embracer เมื่อเดือนพฤษภาคม 2022 โดยกรณีของ Square Enix Montreal ที่มีแบรนด์ Square Enix ติดมาด้วย เพิ่งเปลี่ยนชื่อเป็น Onoma ภายใต้เจ้าของใหม่
แต่เพิ่งเปลี่ยนชื่อได้ไม่ถึงเดือน Onoma โดนปิดซะแล้ว พนักงานบางส่วนจากทั้งหมดราว 200 คนจะถูกโอนไปยัง Eidos Montreal ที่อยู่เมืองเดียวกัน
Embracer ไม่ได้อธิบายเหตุผลในการปิดสตูดิโอ Onoma แต่น่าจะเป็นเรื่องการลดค่าใช้จ่าย โดยสตูดิโอ Eidos Montreal ก็ถูกยกเลิกโครงการเกม 1 เกม และลดขอบเขตของเกมอีก 1 เกมด้วย
Onoma สร้างชื่อมาจากเกมมือถือ Hitman Go, Lara Croft Go, Deus Ex Go และล่าสุดประกาศทำเกม Avatar Generations ซึ่งยังไม่มีข้อมูลว่าโดนยกเลิกไปด้วยหรือไม่
ที่มา - Bloomberg |
# Musk ทวิตเตรียมให้บริการ Twitter Blue แบบใหม่ ราคา 8 ดอลลาร์ต่อเดือน
Elon Musk ซีอีโอคนใหม่ของ Twitter เปิดเผยผ่าน Twitter ว่า บริษัทจะให้บริการสมัครสมาชิก Twitter Blue รายเดือนแบบใหม่ราคา 8 เหรียญสหรัฐฯ หลังจากก่อนหน้านี้มีข่าวว่า Musk สั่งให้แก้ไขโค้ดเพื่อปรับปรุงระบบของ Twitter Blue แต่จะขึ้นราคาเป็น 19.99 เหรียญ
Musk วิจารณ์ระบบ Twitter Blue เก่าว่าเป็นระบบที่แย่ พร้อมกล่าวว่าแพ็คเกจสมาชิกนี้จะให้ความสำคัญกับผู้ใช้เป็นลำดับแรกในการใช้ฟังก์ชันตอบกลับ (Reply) การเมนชั่น (Mention) การค้นหาข้อมูล ซึ่งเขามองว่าจะช่วยป้องกันสแปมหรือสแกม ผู้ใช้จะสามารถโพสต์วิดีโอและไฟล์เสียงขนาดยาวได้ รวมทั้งลดจำนวนโฆษณาลงครึ่งหนึ่ง นอกจากนี้ ผู้ใช้จะสามารถเข้าชมเนื้อหาของครีเอเตอร์ที่เป็นพันธมิตรกับ Twitter ได้โดยไม่มีการจำกัดจำนวนเนื้อหาและไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม
ขณะนี้ ยังไม่มีการยืนยันว่าแพ็คเกจดังกล่าวจะเปิดให้ใช้บริการเมื่อไรและยังไม่มีรายละเอียดว่าระบบการยืนยันตัวตน Twitter Blue ราคา 8 ดอลลาร์ต่อเดือนนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง
ที่มา: The Verge |
# Tumblr กลับมาอนุญาตให้โพสต์ภาพเปลือยที่เป็นศิลปะ แต่ยังไม่ถึงขั้นเนื้อหาทางเพศ
โซเชียลเน็ตเวิร์ค Tumblr ปรับนโยบายกลับมาอนุญาตให้โพสต์ภาพเปลือยอีกครั้ง หลังยกเลิกไปเมื่อปี 2018
แนวทางใหม่ของ Tumblr คือสนับสนุนการเผยแพร่งานศิลปะ แต่การตัดสินว่างานประเภทใด "เหมาะสม" เป็นเรื่องยาก จึงพัฒนาฟีเจอร์ชื่อ Community Labels ให้ผู้โพสต์และชุมชนผู้ใช้งานสามารถแปะป้ายแยกประเภทของเนื้อหาได้ (เช่น โป๊เปลือย รุนแรง เล่าประสบการณ์ติดเหล้าหรือยาเสพติด) ฝั่งของผู้ใช้เองสามารถตั้งค่าแสดงผลเนื้อหาตามความต้องการได้หลายระดับ เช่น ไม่แสดงเลย หรือเบลอภาพเอาไว้
สิ่งที่ Tumblr อนุญาตคือภาพโป๊เปลือย (nudity) เช่น ศิลปะที่เน้นเรือนร่างของมนุษย์ แต่ยังไม่อนุญาตภาพที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเพศอย่างจะแจ้ง (sexually explicit) รวมถึงเนื้อหาที่สร้างความเกลียดชัง ความรุนแรง เนื้อหาที่ผิดกฎหมาย
Tumblr ยกเลิกนโยบายเรื่องภาพเปลือยในยุคที่เป็นบริษัทในเครือ Verizon (Tumblr ขายให้ Yahoo แล้ว Yahoo ขายให้ Verizon อีกที) แต่หลังจากนั้นคือ Automattic บริษัทแม่ของ WordPress มาซื้อกิจการในปี 2019 ทำให้นโยบายตรงนี้เปลี่ยนไป ตัวของ Matt Mullenweg ผู้ก่อตั้ง WordPress และซีอีโอ Automattic ก็เคยโพสต์อธิบาย ว่าการกลับมาอนุญาตให้โพสต์เนื้อหาสำหรับผู้ใช้ porn เต็มขั้นคงเป็นไปไม่ได้ เพราะจะมีปัญหากับบริษัทจ่ายเงิน (เช่น Visa/Mastercard แบน Pornhub) และเจ้าของสโตร์แอพ (เช่น แอปเปิล) แต่การโพสต์เนื้อหาที่เป็นศิลปะนั้นยังยอมรับได้
ที่มา - Tumblr, The Verge |
# Amazon ชะลอการจ้างงานในธุรกิจโฆษณาที่ยังทำกำไรให้บริษัท เพื่อลดค่าใช้จ่าย
แหล่งข่าวของ Bloomberg ระบุว่า Amazon ชะลอการจ้างพนักงานในธุรกิจโฆษณาที่ยังทำกำไรให้กับบริษัท โดยยังคงรับสมัครงานในตำแหน่งที่ว่างอยู่ แต่จะไม่เพิ่มตำแหน่งใหม่อีกแล้ว ทำให้ Amazon เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่เตรียมแผนรับมือกับปัญหาเศรษฐกิจที่ทำให้การเติบโตของยอดขายชะลอตัวลง
การที่ Amazon จะไม่เปิดตำแหน่งใหม่ในธุรกิจโฆษณาแสดงให้เห็นว่าบริษัทต้องการลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มกำไรให้มากขึ้นหลังจากที่ซีเอฟโอของบริษัทได้เปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า Amazon จะยังลงทุนในฝั่งโฆษณาและฝั่ง AWS ด้วยและจะเปลี่ยนไปลดต้นทุนด้านอื่นแทน
ทางฝั่ง Amazon ยังเผยว่าบริษัทมีธุรกิจหลายอย่างที่กำลังเติบโต จึงต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การรับสมัครพนักงานในแต่ละฝั่งธุรกิจเพื่อลดต้นทุน
ธุรกิจการโฆษณาของ Amazon ทำรายได้ 9,550 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ ซึ่งถือว่าเพิ่มขึ้นจากช่วยเดียวกันในปีก่อน 25%
ก่อนหน้านี้ Amazon ก็ได้เปิดเผยผลประกอบการในไตรมาสที่ 3 และเผยว่าจะควบคุมค่าใช้จ่ายและชะลอการรับพนักงาน
ที่มา: Bloomberg |
# Dropbox ถูกเจาะระบบผ่าน Phishing แฮ็กเกอร์เข้าถึงซอร์สโค้ดบางส่วน-ข้อมูลพนักงาน
Dropbox เปิดเผยว่าถูกแฮ็กเข้าระบบจัดการซอร์สโค้ดภายใน (เป็น GitHub แบบบัญชีองค์กร) โดยแฮ็กเกอร์ใช้วิธี phishing หลอกเอาล็อกอิน สามารถเข้าถึงซอร์สโค้ดจำนวน 130 repositories และข้อมูลพนักงาน-คู่ค้าจำนวนหนึ่ง แต่เข้าไม่ถึงซอร์สโค้ดของแอพหลัก และข้อมูลทั้งหมดของลูกค้า
Dropbox บอกว่าได้รับแจ้งเตือนจาก GitHub ที่ตรวจพบความเคลื่อนไหวผิดปกติของบัญชีนักพัฒนา หลังสอบสวนแล้วพบว่าบัญชีถูกแฮ็ก โดยแฮ็กเกอร์ปลอมตัวเป็นอีเมลของระบบ CircleCI บริการ CI/CD ที่ Dropbox ใช้งาน หลอกเอา API key ของบัญชีพนักงานรายหนึ่งไปได้
ซอร์สโค้ดที่ถูกเข้าถึงได้ ประกอบด้วยไลบรารีซอฟต์แวร์ของหน่วยงานอื่นที่ Dropbox นำมาดัดแปลงใช้ภายใน, ต้นแบบซอฟต์แวร์ และเครื่องมือ-ไฟล์คอนฟิกภายใน ส่วนซอร์สโค้ดแอพหลักของ Dropbox ถูกเก็บไว้ต่างหาก และจำกัดสิทธิการเข้าถึงเข้มงวดกว่ามาก จึงปลอดภัย
Dropbox บอกว่าเสียใจที่ซอร์สโค้ดและข้อมูลพนักงานถูกเข้าถึงได้ และบอกว่านี่เป็นบทเรียนว่า multi-factor authentication บางอย่างแข็งแรงไม่พอ ในกรณีนี้ Dropbox ใช้คีย์ฮาร์ดแวร์สร้าง OTP อยู่แล้ว แต่แฮ็กเกอร์เหนือชั้นกว่าเพราะหลอก phishing ให้พนักงานเป็นคนกรอก OTP ด้วยตัวเอง หลังจากเหตุการณ์นี้ บริษัทจะปรับไปใช้มาตรฐานที่แข็งแรงกว่าอย่าง WebAuthn ร่วมกับคีย์ฮาร์ดแวร์-ไบโอเมทริกแทน
ที่มา - Dropbox, BleepingComputer |
# AMD ไตรมาส 3/2022 รายได้รวมโต 29% ส่วนซีพียู PC รายได้ลดลง 40%
AMD รายงานผลประกอบการของไตรมาสที่ 3 ปี 2022 รายได้รวมเพิ่มขึ้น 29% จากช่วงเดียวกันในปีก่อนเป็น 5,565 ล้านดอลลาร์ เป็นสถิติสูงสุดของไตรมาสที่ 3 และมีกำไรสุทธิตามบัญชี GAAP 66 ล้านดอลลาร์ เนื่องจากมีการตัดจำหน่ายสินทรัพย์ของ Xilinx
ก่อนหน้านี้ AMD ให้ข้อมูลเบื้องต้นว่าธุรกิจซีพียูของพีซีจะมีรายได้น้อยกว่าที่บริษัทประเมินไว้ โดยกลุ่มธุรกิจ Client ที่เน้นพีซี มีรายได้ 1,022 ล้านดอลลาร์ ลดลง 40% โดย AMD บอกว่าเพราะความต้องการพีซีในตลาดที่ลดลง ส่วนกลุ่ม Data Center รายได้ 1,609 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 45% จากความต้องการ EPYC ที่มากขึ้น กลุ่ม Gaming มีรายได้ 1,631 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 14% และกลุ่ม Embedded รายได้ 1,303 ล้านดอลลาร์
ที่มา: AMD |
# Google เตรียมปิดบริการแอปแยก Street View มีนาคมปีหน้า ให้ใช้ Google Maps แทน
กูเกิลเริ่มแสดงข้อความแจ้งเตือน กับผู้ใช้งานแอป Street View ที่เป็นแอปแยกสำหรับการใช้งานฟีเจอร์แผนที่ของ Google Maps มุมมองบนถนน street view 360 องศา โดยเฉพาะ ว่าแอปจะถอดออกจากทั้ง App Store และ Play Store ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า และตัวแอปจะหยุดการสนับสนุนในเดือนมีนาคม 2023 เป็นต้นไป
กูเกิลบอกว่า สำหรับผู้ใช้งานที่ต้องการใช้คุณสมบัติมุมมอง street view ต่อไป ให้ไปใช้งานในแอป Google Maps ส่วนผู้ที่ต้องการอัปโหลดภาพปัจจุบัน ให้ทำผ่านเว็บแอป Street View Studio แทน
ที่มา: The Verge |
# Uber ไตรมาส 3/2022 รายได้รวมเติบโตสูงจากการเปิดเมือง
Uber รายงานผลประกอบการของไตรมาสที่ 3 ปี 2022 มีตัวเลขการจ่ายเงินผ่านแพลตฟอร์มสุทธิหรือ Gross Booking เพิ่มขึ้น 26% จากช่วงเดียวกันในปีก่อนเป็น 29,119 ล้านดอลลาร์ โดยคิดเป็นรายได้ของ Uber 8,343 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 81% สุทธิแล้วขาดทุน 1,206 ล้านดอลลาร์ โดย Uber บอกว่าสาเหตุจากขาดทุนบริษัทที่ลงทุน 512 ล้านดอลลาร์ และมีรายจ่ายหุ้นพนักงาน 482 ล้านดอลลาร์
Dara Khosrowshahi ซีอีโอ Uber บอกว่ารายได้ที่เติบโตสูง มาจากการขยายแพลตฟอร์ม เพื่อเพิ่มความสามารถการทำกำไร ทำให้ธุรกิจหลักบริษัทยังเติบโตแข็งแกร่ง ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ผันผวนขณะนี้
รายได้จากธุรกิจรถโดยสารยังเติบโตสูงอีกไตรมาส เพิ่มขึ้น 73% เป็น 3,822 ล้านดอลลาร์ สูงกว่าธุรกิจเดลิเวอรีที่เพิ่มขึ้น 24% เป็น 2,770 ล้านดอลลาร์ และธุรกิจขนส่งเพิ่มขึ้นเป็น 1,751 ล้านดอลลาร์ ส่วนใหญ่มาจากการซื้อกิจการ Transplace
ที่มา: Uber และ CNBC |
# Qualcomm ระบุ Arm เตรียมเก็บค่าไลเซนส์จากผู้ผลิตอุปกรณ์โดยตรงแทนที่จะเก็บจากผู้ผลิตชิป
คดีฟ้องร้องระหว่าง Arm และ Qualcomm ทำให้ทาง Qualcomm แถลงตอบโต้ต่อศาลถึงที่มาที่ไปของคดี โดยยืนยันว่า Qualcomm มีสิทธิ์ใช้งานดีไซน์ชิป Arm ต่อไป แต่ส่วนท้ายของแถลง Qualcomm เปิดเผยว่า Arm กำลังเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจโดยหันไปเก็บค่าไลเซนส์จากผู้ผลิตอุปกรณ์โดยตรงแทนที่จะเก็บจากผู้ผลิตชิป พร้อมระบุว่าหลังจากปี 2025 สัญญาการใช้สถาปัตยกรรม Arm ของ Qualcomm และผู้ผลิตชิปรายอื่นๆ ก็จะหมดอายุลง และผู้ผลิตอุปกรณ์ต้องหันไปจ่ายค่าไลเซนส์ชิปให้กับ Arm โดยตรงแทน
ทาง Qualcomm ยืนยันว่าสัญญากับ Arm อนุญาตให้ใช้งานสถาปัตยกรรมไปได้หลังปี 2025 ไปอีกหลายปี (แถลงถมดำส่วนที่ระบุว่าสามารถต่อสัญญาได้ถึงเมื่อใด) แถลงยังระบุว่าตัวแทนของ Arm แจ้งกับผู้ผลิตอุปกรณ์ว่าวงจรส่วนอื่นๆ เช่น กราฟิก, หน่วยประมวลผลปัญญาประดิษฐ์, และหน่วยประมวลผลภาพนั้นผูกกับสัญญาไลเซนส์ซีพียู ทำให้ผู้ผลิตไม่อุปกรณ์ไม่สามารถใช้ฟีเจอร์เหล่านี้ได้ด้วย
ต่อให้ตัวแทนของ Arm แจ้งกับผู้ผลิตอุปกรณ์เช่นที่ Qualcomm อ้างจริงก็ไม่แน่ชัดว่ามีการแจ้งผู้ผลิตอุปกรณ์ทุกรายหรือไม่ หรือแจ้งกับลูกค้าของ Qualcomm เพื่อกดดันให้ Qualcomm ยอมจ่ายค่าไลเซนส์เพิ่มเติมตามที่ Arm เรียกร้องหลังจากซื้อบริษัท Nuvia เท่านั้น
ที่มา - Courtlistener (PDF) |
# Foxconn ประกาศเพิ่มโบนัสจูงใจพนักงานไม่ให้ลา แล้วมาช่วยกันผลิต iPhone ให้ทันขาย
ช่วงนี้ COVID-19 ยังคงแพร่ระบาดในประเทศจีน ทำให้ชาวจีนหลายคนลังเลที่จะออกไปไหนมาไหน และโรงงานหลายแห่งต้องล็อกดาวน์ เพื่อกักบริเวณพนักงานรวมทั้งโรงงานนของ Foxconn ในเมือง Zhengzhou ด้วย แต่ในเมื่องานก็ยังต้องเดิน Foxconn เลยประกาศเพิ่มโบนัสหวังจูงใจไม่ให้พนักงานลาหยุดในช่วงนี้เพื่อจะได้เร่งผลิต iPhone 14 Pro ที่กำลังขายดิบขายดี
รายงานจาก Nikkei Asia ระบุว่าในขณะที่พนักงานบางส่วนกำลังเดินทางออกจากโรงงาน ก็ได้มีการติดประกาศใจความดังนี้
ข้อมูลจาก Nikkei Asia ยังระบุว่าในช่วงเวลาปกติที่ออเดอร์การผลิตเข้ามามาก พนักงานที่ทำงานเต็มเวลาจะได้โบนัสรวมแล้วประมาณ 11,000 หยวน ดังนั้นตัวเลขในประกาศล่าสุดนี้จึงเท่ากับเป็นอัตราโบนัสที่พิเศษจริงๆ ซึ่งดูเหมือนจะได้ผล เพราะมีพนักงาน Foxconn บอกว่าตัวเขารู้สึกดีใจมากกับการเพิ่มโบนัส ซึ่งตัวเขาและเพื่อนร่วมงานของเขาหลายคนก็เข้าทำงานตามปกติมาโดยตลอด
ก่อนหน้านี้มีรายงานว่าพนักงานของ Foxconn หลายรายตัดสินใจลาหยุดและเร่งรีบออกจากโรงงานเนื่องจากไม่ต้องการโดนกักบริเวณกินนอนอยู่ในโรงงาน และมีผู้ถ่ายวิดีโอแสดงให้เห็นพนักงานหลายคนกระโดดข้ามรั้วออกจากโรงงาน Foxconn เพื่อเดินทางออกจากพื้นที่
เมื่อสัปดาห์ที่แล้วมีผู้ติดเชื้อใน Zhengzhou จำนวน 167 ราย เพิ่มจากสัปดาห์ก่อนหน้าที่มี 97 ราย แม้จะไม่แน่ชัดว่ามีการตรวจพบผู้ติดเชื้อในเขตพื้นที่โรงงานของ Foxconn หรือไม่ แต่ก็มีการคาดการณ์ว่าจะมีมาตรการกักบริเวณพนักงานที่ปฏิบัติงานให้กินนอนพักอาศัยในเขตโรงงาน มีพนักงาน Foxconn หลายคนให้ข้อมูลว่าพื้นที่รอบโรงงานนั้นโดนล็อกดาวน์มาหลายวันแล้ว และนั่นทำให้หลายคนตัดสินใจลาหยุดเพื่อเดินทางกลับบ้าน
ในตอนนี้ iPhone 14 Pro นั้นเป็นที่ต้องการของตลาดเป็นอย่างมาก ในขณะที่ iPhone 14 รุ่นปกตินั้นกลับไม่ได้รับยอดขายมากเท่าที่ควรเนื่องจากผู้บริโภคมองว่ามีไม่มีความแตกต่างจากรุ่นก่อนหน้าเท่าใดนัก
ที่มา - BGR, BBC |
# นักขับ NASCAR เลียนแบบเกม เร่งรถเข้าโค้งไถกำแพงเข้าเส้นชัย พร้อมทำสถิติใหม่สนาม
วันอาทิตย์ที่ผ่านมาในการแข่งรถ NASCAR ที่สนาม Martinsville Speedway ในรัฐ Virginia แฟนกีฬาและผู้บรรยายได้เห็นเทคนิคการขับอันน่าทึ่งของนักขับผู้หนึ่งที่เหยียบคันเร่งเข้าเส้นชัยเป็นอันดับ 5 คว้าคะแนนตีตั๋วเข้าไปแข่งในรอบชิงแชมป์ พร้อมกับทำลายสถิติเวลาที่ดีที่สุดต่อรอบของสนามโดยใช้เวลาในรอบสุดท้ายเพียง 18.845 วินาที เรียกได้ว่าเป็นสถิติที่น่าประทับใจมากเพราะนี่คือเวลาที่ดีที่สุดนับตั้งแต่สนามถูกสร้างขึ้นมาเมื่อปี 1947
นักขับคนที่ว่าคือ Ross Chastain และเทคนิคการขับที่สร้างความตื่นตะลึงนั้นก็คือการขับเข้าโค้งโดยไม่แตะเบรค ไม่ผ่อนคันเร่ง แต่เหยียบเร่งเครื่องด้วยเกียร์ 5 เข้าโค้งสุดท้ายแบบไถกำแพงแซงรถทีเดียว 5 คันรวดก่อนผ่านธงตราหมากรุก
แฟนเกมแข่งรถทั้งหลายคงไม่แปลกใจกับเทคนิคนี้เท่าไหร่
อันที่จริงแล้ว Chastain ก็ให้สัมภาษณ์ยอมรับว่าสิ่งที่เขาทำนั้นเป็นสิ่งที่เขาทำเลียนแบบเกม NASCAR ที่เขาเล่นกับ Chad Chastain น้องชายของเขาตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็ก
เรียกว่าเป็นโมเมนต์ของการแข่งรถที่แฟนเกมแนวขับรถแข่งทุกคนคงประหลาดใจและอมยิ้มไปกับมัน เพราะถึงวิธีการเหล่านี้จะเป็นเรื่องธรรมดามากในโลกของวิดีโอเกม แต่การที่ได้เห็นนักขับอาชีพใช้เทคนิคแบบเดียวกับที่เล่นเกมมาแข่งจริงแล้วดึงเอาผลลัพธ์ที่ดีทั้งการทำอันดับและการทำสถิติสนามนั้นมันน่าประทับใจไม่น้อย
อย่างไรก็ตามหลังการแข่งขันนี้จบลงและภาพที่ถูกถ่ายทอดเผยแพร่ออกไป ก็มีการวิพากษ์วิจารณ์กันว่าวิธีการขับของ Chastain นั้นอันตรายหรือไม่ จะมีนักขับคนอื่นเลียนแบบตามเขาหรือไม่ในการแข่งครั้งอื่นๆ
ที่มา - Ars Technica |
# หนุ่ม UK สร้างเกมเอาชีวิตรอดในร้านเฟอร์นิเจอร์ เจอทนาย IKEA ติดต่อขอให้แก้เกมใหม่
เมื่อเดือนที่แล้วมีโครงการพัฒนาเกมตัวหนึ่งที่ระดมทุนผ่าน Kickstarter ซึ่งก็ประสบความสำเร็จได้ทุนทะลุเป้าไปมากมายจากเป้าหมาย 10,000 ปอนด์ จนถึงตอนนี้ก็ได้เงินสนับสนุนไปแล้วมากกว่า 57,000 ปอนด์ เกมที่ว่านี้มีชื่อว่า "The Store is Closed" โดยเกมนี้เป็นเกมเอาตัวรอดมุมมองบุคคลที่หนึ่ง
ประเด็นที่น่าสนใจคือคอนเซปต์ของเกมนี้เป็นการเอาตัวรอดในร้านขายเฟอร์นิเจอร์ที่มีอาณาเขตไร้ที่สิ้นสุด (คำอธิบายบอกว่าอย่างนั้น) ผู้เล่นจะได้รับบทบาทเป็นคนเข้าไปในร้านขายเฟอร์นิเจอร์โคตรใหญ่ที่ชื่อว่า "STYR" แล้วดันหลงทางข้างใน จนกลายเป็นว่าติดแหงกอยู่ในนั้นจนมืดค่ำ
หลังจากนั้นผู้เล่นจะได้เจอสิ่งแปลกประหลาดไล่ตั้งแต่ "พนักงาน" ของร้าน (ที่ดูยังไงก็เป็นสัตว์ประหลาด), หุ่นจำลองแบบเสื้อผ้าที่เดินได้เหมือนมีชีวิต, ทีวีมีแขนขาที่เดินตามหาอะไรสักอย่าง รวมไปถึง "ผู้จัดการร้าน" ที่รูปร่างสูง 10 กว่าเมตร ที่ทุบผนังปูนได้ง่ายอย่างกับฉีกลังกระดาษ แถมตามตัวมีกระดูกเป็นหนามแหลมทิ่มโผล่ออกมาโดยรอบ
ดูแล้วก็เป็นไอเดียที่แปลกดี กับการที่ต้องพยายามเอาตัวรอด ไล่หาอาหารจากร้านอาหารที่อยู่ในร้านเฟอร์นิเจอร์อีกที, ใช้เครื่องมือช่างและเครื่องมือทำสวนต่าอาวุธเพื่อป้องกันตัวเอง, ใช้สารพัดเครื่องเรือนในร้านมาสร้างฐานหลบภัย ฯลฯ
ทุกอย่างไปได้ดี เกมดูน่าสนใจ คนชอบเพียบลงขันสนับสนุนโครงการกันพร้อมพรั่ง แต่มีบางคนไม่ชอบใจด้วย นั่นคือ IKEA
Fross Zelnick ทนายของ IKEA จาก New York ได้ส่งจดหมายถึง Jacob Shaw นักพัฒนาเกมผู้สร้าง The Store is Closed เพื่อขอให้ปรับเปลี่ยนรายละเอียดในเกมไม่ว่าตรงจุดใดก็ตามที่ทำให้คนนึกถึง IKEA ใจความตอนหนึ่งระบุว่า
ซึ่งถ้าจะถามว่ามีอะไรบ้างนั้น ก็เรียกว่าสารพัดอย่างที่มองเห็นในจากคลิปตัวอย่างเกม เพราะเนื้อความในจดหมายได้กล่าวอ้างถึงองค์ประกอบหลายอย่างไว้ดังนี้
อีกหนึ่งข้อกล่าวอ้างในจดหมายจากทนายคือเว็บข่าวหลายแห่งรายงานข่าวเกี่ยวกับเกมนี้โดยระบุความเชื่อมโยงกับร้าน IKEA เช่นพาดหัวที่บอกว่า "มีบางคนเพิ่งสร้างเกมเอาตัวรอดแนวสยองขวัญในร้าน IKEA" ในขณะที่เว็บอีกแห่งใช้พาดหัวว่า "เรื่องเล่า The Backroom ปะทะ Sons of the Forest ในเกมใหม่แนวสยองขวัญใน IKEA" กระทั่งคอมเมนต์มากมายจากหลายที่ (แม้กระทั่งคนไทยที่ไปโหลดเกมนี้มาลองเล่นแล้วอัดคลิปลง YouTube ก็พากันอ้างชื่อ IKEA ไปด้วยกันแทบทั้งหมด)
จดหมายจากทนายขอให้ Shaw ทำการแก้ไขนำเอา "สิ่งบ่งชี้" ที่ถูกระบุถึงว่าชี้นำให้เข้าใจว่าเกมนี้เป็นเหตุการณ์ในร้าน IKEA ออกไปภายใน 10 วันทำการหลังได้รับจดหมาย
ซึ่งหลังจา Kotaku ได้ข้อมูลเรื่องนี้จาก Shaw และรายงานข่าวนี้ออกไปไม่นาน IKEA ประจำสหราชอาณาจักรก็ได้ส่งข้อความเพื่อแถลงข้อมูลอีกครั้งดังนี้
ถือเป็นกรณีที่น่าสนใจในเรื่องเครื่องหมายการค้าและ trade dress ว่าขอบเขตการคุ้มครองของมันนั้นครอบคลุมไปถึงจุดไหนและละเอียดอ่อนอย่างไรบ้าง
ที่มา - Kotaku |
# OpenSSL ออกอัพเดต 3.0.7 ช่องโหว่เปิดทางยิงใบรับรองรันโค้ดบนเครื่องของเหยื่อแต่โจมตียาก ลดความร้ายแรงเหลือระดับสูง
OpenSSL ออกอัพเดต 3.0.7 ตามที่ประกาศไว้ก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ดีทางโครงการระบุว่าเมื่อวิเคราะห์ช่องโหว่แล้วพบว่าการโจมตีทำได้ยากกว่าที่คิดตอนแรก ทำให้ความร้ายแรงจากระดับวิกฤติเหลือระดับร้ายแรงสูง
ช่องโหว่ CVE-2022-3786 และ CVE-2022-3602 เป็นช่องโหว่สองตัวแยก แต่การโจมตีคล้ายกันคือการสร้างใบรับรองที่ใบในรับรองออกแบบมาเฉพาะเมื่อเปิดการเชื่อมต่อแล้วรับใบรับรองจากอีกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นเซิร์ฟเวอร์หรือไคลเอนต์ (ในกรณีที่เซิร์ฟเวอร์เปิดยืนยันไคลเอนต์ด้วยใบรับรอง) ก็อาจจะถูกโจมตีได้ โดย CVE-2022-3602 นั้นถูกมองว่าอันตรายระดับวิกฤติแต่ในความเป็นจริงคอมไพล์เลอร์จำนวนมากมีการป้องกัน buffer overflow อยู่แล้ว ทำให้การโจมตีระดับเข้าไปรันโค้ดบนเครื่องของเหยื่อทำได้ยาก เหลือเพียงแค่การโจมตีทำให้ระบบแครชเท่านั้น ซึ่งยังคงอันตรายแต่อาจจะไม่ถึงกับต้องปิดระบบทันทีเพื่อแพตช์
แม้ว่าจะลดระดับความร้ายแรงเหลือระดับสูงแต่หากระบบปฎิบัติการหรือซอฟต์แวร์ที่เกี่ยวข้องออกอัพเดตแล้วก็ควรรีบติดตั้งโดยเร็ว
ที่มา - OpenSSL |
# ยอดขาย PS5 แตะ 25 ล้านเครื่อง, แต่สมาชิก PlayStation Plus และ Network กลับลดลง
โซนี่แถลงผลประกอบการไตรมาส 3/2022 ประเด็นที่น่าสนใจคือธุรกิจฝั่งเกม PlayStation ซึ่งปัจจุบันถือเป็นธุรกิจหลักของบริษัทควบคู่กับธุรกิจด้านเซ็นเซอร์ภาพ
รายได้รวม 720 พันล้านเยน (เพิ่มขึ้น 12% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน) จากปัจจัยค่าเงินเยนอ่อนช่วยดัน แต่กำไรจากการดำเนินงาน 40.5 พันล้านเยน (ลดลง 49%) เพราะต้นทุนการพัฒนาเกมเพิ่มขึ้นและค่าใช้จ่ายในการซื้อกิจการ Bungie
ยอดขายฮาร์ดแวร์ PlayStation แตะ 25 ล้านเครื่อง ไตรมาสที่ผ่านมาขายได้ 3.3 ล้านเครื่อง เท่ากับปีที่แล้วเป๊ะๆ รวมสองไตรมาสขายได้ 5.7 ล้านเครื่อง ยังถือว่าช้ากว่าแผนของโซนี่ที่ต้องการขายให้ได้ 18 ล้านเครื่องตลอดปีการเงิน 2023 บริษัทยังมั่นใจว่าจะพิชิตเป้ายอดขายนี้ได้ และในปีการเงินหน้า 2024 ตั้งเป้ายอดขาย 23 ล้านเครื่อง
จำนวนสมาชิก PlayStation Plus ลดลงจาก 47.3 ล้านคนในไตรมาสที่แล้ว เหลือ 45.4 ล้านคน แม้ยกเครื่องโครงการ PlayStation Plus ใหม่ก็ตาม, จำนวนสมาชิก PlayStation Network ลดลงจาก 103 ล้านคนในไตรมาสที่แล้วเหลือ 102 ล้านคน ถือเป็นไตรมาสที่สองที่ยอดสมาชิกทั้งสองประเภทลดลงต่อเนื่อง
ที่มา - Sony, VGC, The Verge |
# Sony เปิดตัว Alpha 7R V กล้อง Mirrorless ฟูลเฟรมตัวล่าสุด ราคา 159,990 บาท
Sony ไทยเปิดตัวกล้อง Alpha 7R V กล้อง mirrorless เซนเซอร์ฟูเฟรมตัวใหม่ พร้อมจอแสดงผล LCD 4 แกนที่หมุนได้รองทิศทาง มีระบบ Real-Time Recognition AF ซึ่งเป็นระบบออโต้โฟกัสที่ทำงานด้วย AI
ตัวกล้อง Sony Alpha 7R V ใช้เซนเซอร์ฟูลเฟรม Black-illuminated Exmor R CMOS ความละเอียดภาพ 61 ล้านพิกเซล พร้อมหน่วยประมวลผล BIONZ XR มีช่วง ISO ที่ 100-32,000 และไดนามิกเรนจ์กว้างสุด 15 สต็อป
Alpha 7R V สามารถถ่ายภาพต่อเนื่องได้สูงสุด 10 เฟรมต่อวินาทีและถ่ายภาพไร้เสียงความเร็วสูงสุด 7 เฟรมต่อวินาที ถ่ายภาพ RAW ที่บีบอัดแล้วต่อเนื่องได้ 583 ภาพ กล้องมีโหมด Pixel Shift Multi Shooting และ Active Mode ที่ช่วยป้องกันการสั่นไหวของภาพ
ส่วนด้านวิดีโอ สามารถถ่ายวิดีโอได้สูงสุดถึง 8K 24/25P และ 4K 50/60P สามารถถ่ายโอนข้อมูลผ่าน (802.11ac) 2x2 MIMO หรือเชื่อมต่อ SuperSpeed USB 10Gbps (USB3.2 Gen2) แบบมีสายผ่านพอร์ต USB-C พร้อมรองรับ UVC และ UAC
Sony ไทยเปิดจองกล้อง Alpha 7R V ตั้งแต่วันที่ 2 ถึง 15 พฤศจิกายนนี้ ในราคา 159,990 บาท สำหรับผู้ที่สั่งจองกล้อง Alpha 7R V ในช่วงเวลาดังกล่าว จะได้รับสมาร์ทโฟน Xperia 1 IV มูลค่า 48,990 บาท จำนวน 1 เครื่อง รวมทั้ง Code ส่วนลดมูลค่า 1,500 บาท สำหรับซื้ออุปกรณ์เสริมรุ่นที่ร่วมรายการจาก Sony Store Online และจะวางขายกล้อง Alpha 7R V หน้าร้านตั้งแต่วันที่ 25 พฤศจิกายนนี้
ที่มา: ข่าวประชาสัมพันธ์ |
# ผู้ใช้โวย Uber ทดสอบยิงโฆษณาผ่าน push notifications
Uber เริ่มทดลองแจ้งเตือนโฆษณาภายนอกแอปพลิเคชัน (push notifications) จนผู้ใช้หลายคนไม่พอใจและโพสต์ลง Twitter เกี่ยวกับการแจ้งเตือนดังกล่าว หลังจากที่ก่อนหน้านี้ Uber เพิ่งจะจัดตั้งฝ่ายโฆษณาขึ้นมาใหม่และเริ่มโฆษณาภายในแอป
ผู้ใช้หลายรายโพสต์ลงใน Twitter ว่าได้รับข้อความแจ้งเตือนที่เป็นโฆษณาจากแอป Uber ขณะที่ไม่ได้ใช้แอปพลิเคชันเลยโดยเฉพาะโฆษณาบริษัทสตาร์ทอัพสายออกกำลังกาย Peloton
Uber เผยว่าการแจ้งเตือนโฆษณาดังกล่าวเป็นเพียงการทดลองเท่านั้น ผู้ใช้สามารถเข้าไปตั้งค่าปิดการแจ้งเตือนโดยการเข้าไปที่ Privacy และ Notifications ในแอปตามลำดับ บริษัทไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดใด ๆ ว่าทดสอบกับใครบ้าง จะทดสอบถึงเมื่อไร และจะใช้ฟีเจอร์การแจ้งเตือนนี้หรือไม่ในอนาคต
ส่วนโฆษณาภายในแอปของ Uber เป็นแบบที่เรียกว่า “journey ads” คือมีโฆษณาจากบริษัทเดียวตลอดการเดินทาง โดยแบรนด์จะโฆษณาขณะรอรถ ขณะเดินทาง และเมื่อถึงจุดหมายปลายทางโดยไม่ซ้ำกัน และยังสามารถโฆษณาตามข้อมูลประวัติสถานที่ของผู้ใช้แต่ละรายได้ด้วย ไม่แน่ว่า Uber จะนำโฆษณาแบบนี้มาใช้กับการแจ้งเตือนนอกแอปด้วยหรือไม่
ที่มา: TechCrunch |
# ผู้บริหารระดับสูงของ Apple ออกจากตำแหน่งอีก 2 คน
Bloomberg อ้างแหล่งข่าวระบุว่า Anna Matthiasson รองประธานฝ่ายร้านค้าปลีกออนไลน์ของ Apple ลาออกจากตำแหน่งหลังทำงานในตำแหน่งนี้มาราว 3 ปี ในช่วงเวลาเดียวกับที่ Mary Demby ประธานฝ่ายสารสนเทศเกษียณอายุหลังจากทำงานกับบริษัทมาราว 30 ปี
เท่ากับว่า Apple เสียผู้บริหารระดับรองลงมาจากทีมบริหารของซีอีโอ Tim Cook อย่างน้อย 3 คน หลังจากก่อนหน้านี้ Evan Hankey รองประธานฝ่ายออกแบบอุตสาหกรรมก็ได้ลาออก และ Jane Horvath ประธานฝ่ายความเป็นส่วนตัวก็ลาออกเพื่อไปทำงานกับบริษัทกฎหมายเช่นเดียวกัน
ขณะนี้ Karen Rasmussen อดีตผู้อำนวยการอาวุโสที่ดูแลด้านดิจิทัลและอีคอมเมิร์ชได้เข้ามาดูแลแทนในตำแหน่งของ Matthiasson ส่วนในตำแหน่งของ Demby ยังไม่แน่ว่าใครจะเข้ามาดูแทน ซึ่ง Bloomberg ระบุว่าการลาออกของทั้ง 2 คนน่าจะทำให้การดำเนินการของทั้ง 2 ฝ่ายมีการเปลี่ยนแปลงในอนาคต
ที่มา: Bloomberg |
# ผู้ร่วมก่อตั้ง Android โชว์ภาพต้นแบบมือถือก่อนเป็น HTC Dream, ยืนยันไม่ได้ลอก iPhone
สมาชิกในทีม Android รุ่นแรก 2 คน ออกมาตอบโต้บทความของ Business Insider ที่พูดถึง Mark Zuckerberg แต่มีแถมประเด็นว่า Android ยุคแรกๆ สร้างขึ้นมาเพื่อแข่งกับ iPhone และปรับดีไซน์ตาม iPhone รุ่นแรก ว่าเรื่องนี้ไม่เป็นความจริง
สองคนที่ออกมาเถียงคือ Rich Miner ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Android Inc. (ร่วมกับ Andy Rubin และคนอื่นๆ) และ Dianne Hackborn วิศวกรในทีม Android ที่อยู่มาตั้งแต่ยุคแรกๆ จนถึงปัจจุบัน
Miner บอกว่าสิ่งแรกที่ควรรู้คือกูเกิลไม่ได้เป็นคนสร้าง Android แต่ Larry Page เกิดถูกใจในบริษัท Android Inc. จึงซื้อกิจการมา แนวคิดในตอนนั้นคือกลัวไมโครซอฟท์และ Windows Mobile ผูกขาดตลาดสมาร์ทโฟน ซ้ำรอยวงการพีซี จึงสร้าง Android ขึ้นมาเพื่อแข่งกับ Windows Mobile
ช่วงแรกของ Android มีต้นแบบฮาร์ดแวร์ 2 รุ่น โดยรุ่นแรกชื่อว่า Sooner ที่ไม่ได้เป็นจอสัมผัส หน้าตาคล้าย BlackBerry ตั้งเป้าออกวางขายให้เร็วที่สุด จากนั้นจะออกมือถือรุ่นที่สองคือ Dream ที่เป็นจอสัมผัสตามมา ทีมงาน Android พัฒนาอินเทอร์เฟซสำหรับจอสัมผัสอยู่ก่อนแล้ว ตั้งแต่ก่อนแอปเปิลเปิดตัว iPhone
แต่หลังจากนั้น ทีม Android พบว่า Sooner ไม่น่าสนใจมากพอ จึงยกเลิกโครงการไป หันมาโฟกัสแต่ Dream เพียงตัวเดียว โดย Miner ยังโพสต์ภาพเรนเตอร์ของ Dream ในช่วงออกแบบ ที่ไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อนด้วย (ภาพนี้เรนเดอร์ก่อน iPhone เปิดตัว 5 เดือน) ซึ่งภายหลัง Dream ถูกพัฒนาต่อจนกลายเป็น T-Mobile G1 สมาร์ทโฟน Android ที่วางขายเป็นรุ่นแรก (หรือที่รู้จักกันในชื่อ HTC Dream นอกตลาดสหรัฐอเมริกา)
ภาพจาก Wikipedia
Miner ยังเล่าว่าสตีฟ จ็อบส์ ไม่พอใจที่กูเกิลทำ Android ทำให้ทีมงานต้องปรับดีไซน์เล็กน้อยก่อนเปิดตัวเพื่อเอาใจจ็อบส์ ที่เป็นพาร์ทเนอร์รายสำคัญของกูเกิลในช่วงนั้น แต่เขายืนยันว่า Android พัฒนาขึ้นมาโดยไม่มีข้อมูลว่าแอปเปิลทำอะไรอยู่ ส่วนการที่ดีไซน์ออกมาคล้ายกันก็เป็นเพราะข้อจำกัดทางเทคโนโลยีเหมือนๆ กัน เขายังให้ข้อมูลว่า Android ประกาศทำ Market ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2007 ในขณะที่แอปเปิลเริ่มทำ App Store ในเดือนมิถุนายน 2008
ส่วน Hackborn ก็พูดถึง Windows Phone ที่ตามมาภายหลังจากนั้น 2 ปีว่ามาช้าเกินไป และถึงแม้ไมโครซอฟท์ชอบนำ Windows Phone ไปเทียบกับ iPhone แต่จริงๆ แล้วเป้าหมายคือ Android ต่างหาก
Hackborn ยังพูดถึงตลาดสมาร์ทโฟนว่าเกิดจากการต่อยอดตลาดโทรศัพท์มือถือแต่เดิม เป็นสินค้าที่คนใช้กันอยู่แล้ว พิสูจน์ได้ว่ามีตลาด มีผู้ซื้อชัดเจน แค่พัฒนาให้มันดีขึ้น ในขณะที่ตลาดแว่น VR นั้นสร้างขึ้นมาจากศูนย์เลย โอกาสประสบความสำเร็จจึงต่างกันมาก |
# Phil Spencer เผย ไมโครซอฟท์ขาย Xbox ขาดทุนเครื่องละ 100-200 ดอลลาร์
เป็นเรื่องปกติของวงการเกมคอนโซลมานานแล้ว ที่เจ้าของแพลตฟอร์มยอมขายเครื่องเกมสเปกแรงในราคาขาดทุน แล้วไปทำกำไรจากการขายเกมหรือบริการเสริมอื่นๆ แทน เพียงแต่เราอาจไม่เคยเห็นตัวเลขชัดๆ มาก่อนว่าขาดทุนกันเท่าไร
ล่าสุด Phil Spencer หัวหน้าทีม Xbox ให้สัมภาษณ์กับ CNBC (ช่วงนี้ออกสื่อบ่อย) และเผยตัวเลขออกมาให้เห็นว่าขาดทุนที่ราว 100-200 ดอลลาร์ต่อเครื่อง โดยกรณีของ Xbox Series X (ราคาขาย 499 ดอลลาร์) ขาดทุนน้อยกว่าที่ 100 ดอลลาร์ และ Xbox Series S (ราคาขาย 299 ดอลลาร์) อาจขาดทุนถึง 200 ดอลลาร์ต่อเครื่อง
Spencer บอกว่าไมโครซอฟท์ตั้งราคาเครื่องไว้หลายระดับ จับลูกค้าหลายกลุ่ม และคาดหวังว่าลูกค้าจะซื้อเกม, จ่ายค่าสมาชิกรายเดือน Game Pass หรือซื้ออุปกรณ์เสริมที่ทำกำไรให้ไมโครซอฟท์มากกว่า
นอกจากนี้ Spencer ยังพูดถึงสภาพเศรษฐกิจต่อธุรกิจเกมว่าไม่มีผลมากนัก และเอาเข้าจริงแล้ว ช่วงที่เศรษฐกิจแย่ คนอยู่บ้านและเล่นเกมมากขึ้นด้วยซ้ำ โดยให้ข้อมูลว่าปีที่ไมโครซอฟท์ขายเครื่องได้เยอะที่สุดคือปี 2008 ซึ่งเป็นปีที่หลายประเทศเจอวิกฤตเศรษฐกิจนั่นเอง
ที่มา - CNBC, Kotaku |
# Apple ยื่นจดสิทธิบัตรใหม่ อาจเป็นโลโก้ Apple ที่มีแสงกลับมาพร้อม MacBook ในอนาคต
สำนักสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้าสหรัฐอเมริกาเผยแพร่สิทธิบัตรที่ Apple ยื่นจดทะเบียนในเดือนพฤษภาคมปีนี้สำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีโครงสร้างกระจกบางส่วนที่สะท้อนแสงจากตัวอุปกรณ์
สิทธิบัตรระบุว่าเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ด้านหลังมีโลโก้หรือรูปอื่น ๆ ที่ทำด้วยกระจกเงาเพื่อป้องกันไม่ใช้เห็นชิ้นส่วนภายในของตัวเครื่อง ซึ่งกระจกนี้มีคุณสมบัติที่สามารถทำให้แสงจากตัวเครื่องอุปกรณ์ทะลุผ่านออกทางกระจกได้ กระจกนี้อาจมีสีเทาอ่อนหรืออาจจะเป็นสีที่ไม่ใช่สีพื้นอย่างเช่นสีทอง
Apple ใช้โลโก้ของบริษัทที่ทำด้วยกระจกที่สะท้อนแสงจากตัวเครื่องมาใช้ในปี 1999 เป็นครั้งแรกก่อนจะเลิกใช้ไปในปี 2015 แต่ในการยื่นสิทธิบัตรนี้ไม่ใช่เทคโนโลยีที่เคยมีมาแล้วแต่เป็นเทคโนโลยีใหม่
ยังไม่แน่ว่าสิทธิบัตรหมายถึงโลโก้ของ Apple ที่สะท้อนแสงที่ตัวเครื่อง MacBook หรือไม่ เพราะเว็บไซต์ Patently Apple เผยว่ารายชื่อวิศวกรซอฟต์แวร์ที่ปรากฎอยู่ในเอกสารยื่นสิทธิบัตรเป็นพนักงานที่เพิ่งเข้าทำงานกับ Apple ในปี 2018 หลังจากที่ Apple เลิกใช้โลโก้สะท้อนแสงไปแล้ว เป็นไปได้ว่าสิทธิบัตรนี้จะหมายถึงเทคโนโลยีอื่น
ที่มา: MacRumors |
# TCL วางขายสมาร์ททีวีที่ใช้ Amazon Fire TV ได้แล้ว อาจเป็นเพราะกูเกิลผ่อนคลายสัญญาให้
เว็บไซต์ข่าว Protocol รายงานว่า Amazon ประสบความสำเร็จในการเจรจากับกูเกิล โดยกูเกิล "ยอม" ให้ผู้ผลิตสมาร์ททีวี Google TV สามารถไปผลิตทีวีที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Fire TV OS ของ Amazon ได้
ในโลกของ Android ที่ใครก็สามารถนำโค้ดไปดัดแปลงเป็นระบบปฏิบัติการตัวเองได้ กูเกิลใช้วิธี "ล็อค" สัญญากับผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ว่าห้ามไปใช้ระบบปฏิบัติการดัดแปลงอื่น (ข่าวเก่าปี 2012, ข่าวเก่าปี 2021) หากละเมิดสัญญานี้ กูเกิลจะไม่อนุญาตให้ใช้งาน Google Android ที่มีแอพกลุ่ม Google Mobile Services (GMS) และการเข้าถึง Google Play Store แบบเดียวกับที่ Huawei โดน (แต่อันนั้นมาจากคำสั่งของรัฐบาลสหรัฐที่แบนบริษัทจีน แม้ได้ผลแบบเดียวกัน)
สัญญาลักษณะนี้ทำให้ช่วงหลังๆ กูเกิลถูกเพ่งเล็งเรื่องการผูกขาดการค้าจากหน่วยงานหลายประเทศ (เคสล่าสุดคืออินเดีย) ทำให้กูเกิลต้องยอมผ่อนคลายเงื่อนไขเหล่านี้มากขึ้น
เราไม่รู้ว่ากูเกิลมีสัญญากับ Amazon อย่างไร แต่ผลที่เกิดขึ้นคือ TCL ผู้ผลิตทีวีสัญชาติจีนที่ทำ Google TV ขายมายาวนาน ประกาศผลิตทีวีที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Fire TV ของ Amazon (เป็น Android เวอร์ชันดัดแปลงเอง) วางขายในยุโรป
ทีวีของ TCL รุ่นนี้เรียกว่า CF6 Series มีสองขนาดหน้าจอคือ 50" และ 55" ฝั่งซอฟต์แวร์ใช้ระบบปฏิบัติการ Fire TV, รองรับคำสั่งเสียง Alexa, ติดตั้งแอพจาก Amazon Appstore และนำเสนอเนื้อหาจาก Amazon Prime Video
ตัวแทนของทั้งสองบริษัทปฏิเสธการให้ความเห็นในเรื่องนี้ แต่ Amazon เคยชี้แจงต่อคณะกรรมการแข่งขันของอินเดียว่าประสบปัญหาในการหาผู้ผลิตทีวี Fire TV เพราะโดนสัญญาของกูเกิลล็อคเอาไว้ แม้ผู้ผลิต OEM อย่างน้อย 7 ราย อยากทำสมาร์ททีวี Fire TV มาวางขายก็ตาม
ที่มา - TCL, Ars Technica |
# ธนาคารกลางสิงคโปร์ออกรายงานการทดลองเงินดิจิทัล: ยังไม่จำเป็นตอนนี้แต่อนาคตอาจจะมีการใช้งาน
ธนาคารกลางสิงคโปร์ออกรายงานโครงการ Orchid ที่เป็นโครงการเงินดิจิทัลจากธนาคารกลาง (Central Bank Digital Currency - CBDC) โดยมุ่งทดสอบการใช้งานเงินดิจิทัลที่จำกัดวัตถุประสงค์การใช้งาน (purpose bound money - PBM) ตอนนี้พบว่ายังไม่จูงใจพอที่จะเปิดใช้งานจริงในตอนนี้แต่ก็จะเดินหน้าสำรวจการใช้งานที่เหมาะสมต่อไป พร้อมกับเตรียมความพร้อมในกรณีที่มีความต้องการใช้งานในอนาคต
PBM เป็นเหมือนคูปองทั้งของภาครัฐและเอกชน ที่จำกัดว่าผู้ใช้งานสามารถใช้ที่ใดได้บ้าง เช่น ร้านค้าที่ร่วมโครงการ, อาหารในโรงเรียน, หรือโครงการสนับสนุนต่างๆ ของภาครัฐ ความได้เปรียบคือการออกคูปองไม่ต้องวางโครงสร้างใหม่ทั้งหมดทุกรอบในแต่ละโครงการแต่อาศัยโครงสร้าง CBDC เป็นระบบกลางแล้วกำหนดเงื่อนไขของแต่ละโครงการได้ทันที
การใช้งานจริงมีตั้งแต่การใช้งานเป็นคูปองศูนย์อาหาร, ธนาคารที่ปล่อยเงินกู้บ้านอาจจะสามารถโอน PBM ให้กับผู้กู้ได้โดยตรง ขณะที่ผู้กู้จะต้องนำไปจ่ายกับผู้รับเหมาเท่านั้นไม่สามารถนำไปใช้งานอย่างอื่นได้, หรือเงินสนับสนุนการฝึกอาชีพของรัฐบาลแทนที่จะต้องทำระบบลงทะเบียนขอเงินสนับสนุน รัฐบาลก็สามารถออก PBM เพื่อให้ประชาชนนำเงินไปจ่ายศูนย์ฝึกอบรมที่เข้าร่วมโครงการได้ทันที
ที่มา - MAS |
# CP Symposium 2022 เปิดขุมทรัพย์ทางวิชาการ สร้างสรรค์ความรู้และวิทยาการสู่ศตวรรษใหม่
ในยุคที่โลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทุกคนสามารถหาข้อมูลได้ง่ายแค่ปลายนิ้วบนโลกออนไลน์ ธุรกิจมากมายต้องเผชิญกับ Digital Transformation หลายอุตสาหกรรมจึงต้องปรับตัวเข้าสู่ยุค New Economy 5.0 ให้ทันต่อความท้าทายครั้งนี้
ภาคเอกชนไทยอย่างเครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือ ซีพี ที่ดำเนินธุรกิจหลากหลายทั้งอุตสาหกรรมการผลิตและการบริการ ถือเป็นกรณีศึกษาที่เห็นได้ชัดถึงการทรานฟอร์มธุรกิจได้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงในกระแสโลกอยู่ตลอดเวลา เพื่อเตรียมพร้อมที่จะปรับโฉมสู่องค์กรแห่งนวัตกรรม - Tech Company ในอนาคต
CP SYMPOSIUM 2022 หรือ การประชุมวิชาการเครือเจริญโภคภัณฑ์ ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 9-11 พฤศจิกายนนี้ จึงเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนองค์กรตามวิสัยทัศน์ของประธานอาวุโสเครือซีพี ธนินท์ เจียรวนนท์ ที่ให้ความสำคัญในการพัฒนา “คน” สนับสนุนพนักงานเครือเจริญโภคภัณฑ์กว่า 4.5 แสนคนในทุกกลุ่มธุรกิจทั่วโลก ผนึกกำลังแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และสร้างเครือข่ายความร่วมมือทางวิชาการในทุกภาคส่วนเพื่อ “ร่วมสร้างสังคมอุดมปัญญา” ทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ประเทศชาติ ประชาชน และองค์กร ตามค่านิยม “3 ประโยชน์” ของเครือซีพี
CP SYMPOSIUM คืออะไร?
คุณภีมเดช อุตสาหจิต ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการอำนวยการ CP SYMPOSIUM 2022 ได้ฉายภาพรวมของงานการประชุมวิชาการเครือเจริญโภคภัณฑ์ ว่าเป็นงานที่จัดขึ้นทุก 2 ปี และจัดมาแล้วกว่า 4 ครั้ง ตั้งแต่ปี 2009 เพื่อเป็นการถ่ายทอดความรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านวิทยาศาสตร์ชีวภาพ วิศวกรรม ไอทีและดิจิทัล รวมไปถึงความยั่งยืน ให้ผู้บริหารและพนักงานเครือเจริญโภคภัณฑ์ โดยเน้นไปที่กลุ่มนักวิทยาศาสตร์ นักวิจัย วิศวกร และนักปฏิบัติเรื่องความยั่งยืนในสายงานของกลุ่มธุรกิจในเครือฯ
ด้วยเครือซีพีเป็นบริษัทที่มีขนาดใหญ่ มีทีมวิจัยและพัฒนาสินค้าและบริการที่หลากหลาย อาทิ ซีพีเอฟ ที่ดำเนินธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารแบบครบวงจรทั้งสัตว์บกและสัตว์น้ำ ครอบคลุมประเภทสัตว์หลัก อย่างสุกร ไก่เนื้อ และไก่ไข่ มีกลุ่มพืชหลายกลุ่ม ทั้งเจียไต๋ที่ดูเรื่องผลไม้ ซีพีพีที่ดูเรื่องพันธุ์ข้าวโพด ถั่วเหลือง และซีพีครอพที่ดูเรื่องพันธุ์ข้าว เป็นต้น ดังนั้นจะมีงานวิจัย และผลงานนวัตกรรมที่มีประโยชน์และเป็นความรู้ที่สามารถนำมาแชร์ให้พนักงานที่อยู่ในสายงานใกล้เคียงกันได้นำ Best Practice นี้ไปปรับปรุง พัฒนา และต่อยอดการทำงานให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น
“การจัดงาน CP SYMPOSIUM เราคาดหวังให้เป็นพื้นที่ให้พนักงานในเครือซีพีร่วมผนึกกำลังแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และสร้างเครือข่ายความร่วมมือทางวิชาการกับทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษาในการร่วมสร้างสังคมอุดมปัญญาทางด้านวิทยาศาสตร์ชีวภาพ วิศวกรรม ไอทีและดิจิทัล รวมไปถึงความยั่งยืน ซึ่งงานนี้สอดคล้องกับค่านิยมองค์กรในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ทและก่อให้เกิดประโยชน์แก่ประเทศชาติ ประชาชน และองค์กร”
ชู 4 จุดเด่นร่วมสร้าง Innovation Ecosystem
ในปีนี้เครือเจริญโภคภัณฑ์กำลังก้าวสู่ศตวรรษใหม่ การจัดงาน CP SYMPOSIUM 2022 จึงถือเป็น “ประวัติศาสตร์และก้าวสำคัญ” ของเครือฯ ในการร่วมสร้าง Innovation Ecosystem ภายใต้แนวคิด “สร้างสรรค์ความรู้และวิทยาการเพื่อก้าวสู่ศตวรรษใหม่ – CREATE KNOWLEDGE AND TECHNOLOGY FOR OUR NEW CENTURY” ด้วยการนำเสนอผลงานวิชาการของกลุ่มธุรกิจต่างๆ ของเครือซีพีทั่วโลกที่ได้ผ่านการคัดเลือกมาอย่างเข้มข้นรวม 156 โครงการจากบริษัทในเครือซีพีกว่า 6 ประเทศทั่วโลก
โดยแบ่งเป็น 4 ประเด็นหลัก คือ
1. วิทยาศาสตร์ชีวภาพ (Life Science) 58 โครงการ ครอบคลุมตั้งแต่การใช้ biotechnology ในการปรับปรุงพันธุ์พืชและสัตว์ การป้องกันควบคุมโรคและดูแลสวัสดิภาพสัตว์ผ่านระบบการบริหารจัดการฟาร์ม และการพัฒนาอาหารที่ปลอดภัยและมีคุณค่าเพื่อต่อยอดไปสู่การดูแลสุขภาพแบบบูรณาการ
2. วิศวกรรม (Engineering) 30 โครงการ ที่มีการนำเสนอการปรับปรุงกระบวนการผลิต การนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่นหุ่นยนต์มาใช้ในการผลิตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพลดความเสี่ยงของพนักงาน
3. ไอทีและดิจิทัล (IT & Digital) 34 โครงการ ครอบคลุมการพัฒนา software ที่ช่วยในการทำงาน รวมไปถึงการใช้ Data Analytics การใช้ AI Quantum Computing ที่จะมาช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูล
และ 4.ความยั่งยืน (Sustainability) 34 โครงการ ที่ครอบคลุมมิติด้านสังคม เศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม ทั้งการดูแลผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย รวมถึงการบริหารความเสี่ยง โดย 2 หัวข้อหลังเป็นประเด็นใหม่ที่ทางเครือซีพีเร่งปรับตัวทรานฟอร์มองค์กรสู่ยุค 5.0 ทั้งนี้เพื่อให้เกิดการพัฒนาองค์ความรู้วิจัยและนวัตกรรมที่ยกระดับกระบวนการทำงานตลอดห่วงโซ่อุปทานในการดำเนินธุรกิจของเครือซีพีที่สอดรับกับความท้าทายของโลก
คุณภีมเดช ได้ขยายความถึง 4 ประเด็นหลักที่เป็นจุดเด่นของการจัดงานในครั้งนี้ ซึ่งได้รับเกียรติจากวิทยากรชั้นนำระดับประเทศและระดับโลกมาร่วมแชร์ความรู้และประสบการณ์ที่เป็นเมกะเทรนด์ต่างๆ อย่างคุณ Harald Link จาก บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) ที่จะมาพูดในหัวข้อ ถอดรหัสอาณาจักร บี.กริม สูตรบริหารองค์กรกว่า 140 ปี ซึ่งจะได้รู้เคล็ดลับเทคนิคในการบริหารองค์กร และพัฒนาทักษะคนในองค์กรอย่างไรให้สามารถทำธุรกิจได้อย่างยั่งยืน รวมไปถึงการมาแชร์ความรู้ทางด้านไอทีและดิจิทัลจาก ดร.ชวพล จริยาวิโรจน์ จากบริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีทางเทเลคอม
รวมไปถึงการเร่งติดอาวุธเทคโนโลยีควอนตัม ที่จะเข้ามาดีสทรับธุรกิจจากนักวิจัยรุ่นใหม่ ดร.จิรวัฒน์ ตั้งปณิธานนท์ ซีอีโอ บริษัท ควอนตัม เทคโนโลยี ฟาวเดชั่น (ประเทศไทย) จำกัด นอกจากนี้ยังมีการแชร์ประสบการณ์จากผู้บริหารในเครือซีพีที่จะมาร่วมจุดประกายความคิดใหม่ๆ ในด้านวิทยาศาสตร์และวิศวกรรม ร่วมกับวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจากอีกหลายภาคส่วนทั้งภาครัฐ เอกชนและสถาบันการศึกษา ที่จะช่วยสร้างแรงบันดาลใจและจุดประกายความคิดใหม่ๆ เพื่อเปิดมุมมองทางวิชาการและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีครอบคลุมในหลายด้านที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศและการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน
ติดอาวุธความรู้-ผนึกกำลังทุกภาคส่วน-เชิดชูนักวิจัยและนวัตกร
ความคาดหวังของการประชุมวิชาการครั้งนี้ คุณภีมเดช ได้ย้ำถึงความมุ่งมั่นของเครือซีพีในการจะเป็นผู้นำด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมความยั่งยืน ดังนั้นจึงต้องเร่งเครื่องในการพัฒนา “คน” ซึ่งเป็นฟันเฟืองสำคัญในการดำเนินธุรกิจด้วยการ Upskill และ Reskill ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม ให้พร้อมสู่ Tech Company
“งาน CP SYMPOSIUM ครั้งนี้เราต้องการให้เป็นพื้นที่ถ่ายทอด “องค์ความรู้” พร้อมติดอาวุธให้แก่ผู้บริหารและพนักงานของเครือซีพี รวมทั้งบุคคลที่สนใจ เพื่อให้ทุกคนเห็นความสำคัญและการปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีควบคู่ไปกับความยั่งยืน ได้รับฟังความรู้ใหม่ๆ อัพเดตเมกะเทรนด์จากผู้เชี่ยวชาญทั้งภายในและภายนอกองค์กร เพื่อที่จะสร้างสรรค์งานและต่อยอดงานได้ดีขึ้น เกิดการพัฒนาองค์ความรู้วิจัยและนวัตกรรมที่ยกระดับกระบวนการทำงานตลอดห่วงโซ่อุปทานในการดำเนินธุรกิจของเครือซีพีที่สอดรับกับความท้าทายของโลก และพร้อมเป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนทั่วโลก”
นอกจากเชิงความรู้ ผ่านการนำเสนองานวิจัยและผลงานสร้างสรรค์นวัตกรรมแล้ว CP SYMPOSIUM เปรียบเสมือนพื้นที่ในการ “สร้างเครือข่ายความร่วมมือ” ด้วยการผนึกกำลังระหว่างกลุ่มธุรกิจในเครือฯ และหน่วยงานวิจัยจากหลายภาคส่วนที่มีความเชี่ยวชาญ ซึ่งจะทำให้เกิดไอเดีย ความคิดที่หลากหลายในการพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูง เพื่อให้เกิด impact ในการพัฒนาประเทศชาติได้อย่างสูงสุด
รวมไปถึงการจัดงานในครั้งนี้ยังเป็นการ “เชิดชูนักวิจัยและนวัตกร” ของเครือซีพีที่ได้ทุ่มเทคิดค้นและพัฒนาเทคโนโลยีและกระบวนการบริหารที่ช่วยสร้างสินค้าและบริการเพื่อสนองตอบความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด แม้ว่าบางคนอาจไม่ได้เป็น’หน้าบ้าน’ ที่มีการวัดผลจากยอดขายหรือกำไร แต่การสร้างนวัตกรรมและความยั่งยืนหลังบ้านก็ถือเป็นสิ่งสำคัญในการทำงานขับเคลื่อนองค์กรไม่แพ้กันกัน
คุณภีมเดช ได้ย้ำปิดท้ายว่า งาน CP Symposium 2022 ในครั้งนี้ ถือเป็นการจัดงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของเครือซีพีในฐานะที่ดำเนินธุรกิจครบ 100 ปี และในปีนี้เครือซีพีกำลังก้าวสู่ศตวรรษใหม่ ดังนั้นองค์ความรู้และผลงานที่นำมาจัดแสดงจึงสดใหม่ และมีความเข้มข้นในเนื้อหาที่ครอบคลุมมาก และปีนี้ด้วยสถานการณ์การป้องกันโควิด-19 แม้จะคลี่คลายแล้ว แต่เพื่อความปลอดภัย เราจึงได้จัดงานในรูปแบบไฮบริดเป็นครั้งแรกเพื่อให้มีผู้ร่วมงานมากที่สุด โดยมีการแปลภาษารองรับ 3 ภาษาทั้งไทย จีนและอังกฤษ โดยการประชุมวิชาการเครือเจริญโภคภัณฑ์ 2022 จะจัดขึ้นในวันที่ 9-11 พฤศจิกายนนี้ จึงขอเชิญชวนผู้บริหารและพนักงานของเครือซีพีทั่วโลก ลงทะเบียนเข้าร่วมงานได้ที่ https://www.cpinno.net/en/symposium และบุคคลภายนอกที่สนใจรับฟังความรู้ทางวิชาการด้านต่างๆ สามารถรับชมการบรรยายจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ ผ่านทางระบบ Live streaming ได้ในวันที่ 9 พฤศจิกายน ได้ทาง https://www.facebook.com/wearecp/
สรุป
CP Symposium 2022 เปรียบเสมือนการติดอาวุธให้ผู้บริหารและพนักงานเครือซีพี โดยเฉพาะในกลุ่มนักวิจัย นวัตกรในการนำองค์ความรู้ทางวิชาการในด้านวิทยาศาสตร์ชีวภาพ วิศวกรรม ไอทีและดิจิทัล รวมไปถึงความยั่งยืน ไปสร้างสรรค์ผลงานและต่อยอดให้เป็นรูปธรรมเพื่อยกระดับกระบวนการทำงานตลอดห่วงโซ่อุปทานของการดำเนินธุรกิจในกลุ่มเครือซีพีให้พร้อมเปลี่ยนผ่านสู่ Tech Company มุ่งสร้างประโยชน์ให้กับประเทศชาติและประชาชนเป็นสำคัญ |
# Cyan Worlds ประกาศรีเมคเกมผจญภัย Riven ภาคต่อของเกม Myst หลังผ่านมา 25 ปี
Cyan Worlds บริษัทผู้สร้างเกมผจญภัยซีรีส์ Myst หลังจากรีเมคเกม Myst ไปเมื่อปี 2020 ก็ประกาศรีเมคเกม Riven ซึ่งเป็นภาคต่อของ Myst แล้ว
เกม Riven ออกขายครั้งแรกในปี 1997 โดยถือเป็นภาคสองของ Myst ที่ออกในปี 1993 และมีเนื้อเรื่องต่อกัน ในยุคนั้นเกม Riven ได้รับคำยกย่องในแง่กราฟิกที่ล้ำสมัย (ต้องใช้ซีดี 5 แผ่น) เกมทำยอดขายได้ 1.5 ล้านชุดในปีแรกที่วางขาย และเป็นเกมขายดีของปี 1997
Riven ถูกพอร์ตไปยังเครื่องอื่นๆ เช่น PlayStation, Sega Saturn และภายหลังคือมาลง iOS/Android ด้วย แต่ไม่เคยถูกรีเมคมาก่อนเลย (ในขณะที่ Myst รีเมคไปแล้วสามรอบ) การรีเมคครั้งนี้เป็นการฉลอง 25 ปีของเกม Riven แต่ยังไม่เปิดเผยวันวางขายและแพลตฟอร์ม
ที่มา - Cyan Worlds, Cyan Worlds, VentureBeat |
# Replit เปิดบริการปัญญาประดิษฐ์ช่วยเขียนโค้ด, แก้โค้ด, อธิบายโค้ด
Replit บริการ IDE ในเบราว์เซอร์และในแอปโทรศัพท์มือถือเปิดตัวบริการ Ghostwriter ปัญญาประดิษฐ์ช่วยเขียนโค้ดตามคำสั่ง โดยมีฟีเจอร์หลายรูปแบบ ทั้งการเติมโค้ดหลังผู้ใช้เขียนไว้บางส่วน, อธิบายโค้ดเป็นคอมเมนต์, แปลงโค้ดตามคำสั่ง เช่น การเปลี่ยน React component ให้เป็นฟังก์ชั่น, และการเขียนโค้ดตามคำสั่งทั้งไฟล์
ตอนนี้ Ghostwriter รองรับภาษาทั้งหมด 16 ภาษา ตั้งแต่ Bash, C/C++, C#, Java, JavaScript, PHP, Perl, Python, R, Ruby, Rust, TypeScript และโค้ดที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ CSS, HTML, SQL
ค่าบริการ Ghostwriter อยู่ที่ 10 ดอลลาร์ต่อเดือน สามารถสมัครใช้งานได้ทันทีหรือหากต้องการทดลองใช้งานฟรีต้องลงชื่อรอคิว
ที่มา - Replit |
# Elon Musk เป็นซีอีโอ Twitter แล้ว, ยุบบอร์ดทิ้ง เหลือตัวเองคนเดียว, เตรียมนำบริษัทออกจากตลาดหุ้น
รวมข่าว Elon Musk ประจำวัน หลังเขาได้เป็นเจ้าของบริษัท Twitter Inc. อย่างเป็นทางการแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่เขาทำคือยุบคณะกรรมการ (Board of Directors) ทั้งหมด ทำให้ตอนนี้บริษัทมีบอร์ดเหลือเพียงคนเดียวคือตัวเขาเอง
ก่อนหน้านี้ Twitter มีบอร์ดทั้งหมด 9 คน ได้แก่ Bret Taylor (ประธานบอร์ด), Parag Agrawal, Omid Kordestani, David Rosenblatt, Martha Lane Fox, Patrick Pichette, Egon Durban, Fei-Fei Li, Mimi Alemayehou ซึ่งทุกคนลาออกจากตำแหน่ง
นอกจากนี้ Musk ยังขึ้นมาเป็นซีอีโอของ Twitter อย่างเป็นทางการแล้ว ข้อมูลนี้มาจากเอกสารที่ Twitter แจ้งต่อ SEC (ก.ล.ต. สหรัฐ) แม้ว่า Elon ยังเล่นมุขว่าตำแหน่งของเขาคือ Chief Twit และบอกว่าไม่รู้เหมือนกันว่าใครคือซีอีโอก็ตาม
สถานะของบริษัท Twitter Inc. หลังถูกซื้อกิจการ กำลังอยู่ระหว่างยื่นเอกสารเพื่อถอนตัวออกจากตลาดหลักทรัพย์ โดยจะมีผลในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2022 หลังจากนั้น Twitter Inc. จะกลายเป็นบริษัทที่อยู่นอกตลาด ภายใต้ X Holdings I ของ Elon Musk ตามแผนของเขาที่ต้องการผ่าตัดใหญ่ Twitter โดยไม่จำเป็นต้องฟังเสียงจากนักลงทุนในตลาด
ส่วนในแง่ผู้ถือหุ้นใหม่ของ Twitter Inc. ไม่ได้มีแต่ Elon คนเดียว เพราะเขารวมเงินตัวเอง เข้ากับเงินของนักลงทุนอีกบางราย และกู้เงินมาเพิ่มอีก 1.3 หมื่นล้านดอลลาร์มาซื้อกิจการ หนึ่งในนายทุนเหล่านั้นคือ Kingdom Holding Company บริษัทลงทุนของรัฐบาลซาอุดีอาระเบีย โดยเจ้าชาย Alwaleed bin Talal bin Abdulaziz Al Saud ได้ทวีตข้อความว่าจะร่วมเดินหน้าไปกับ Elon ในฐานะผู้ถือหุ้นอันดับสอง
ผู้ถือหุ้นอีกรายคือ Jack Dorsey ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทและอดีตซีอีโอ ที่เป็นพันธมิตรกับ Elon ในการซื้อกิจการรอบนี้ เขายังมีหุ้นเหลืออยู่ 2.4% (มูลค่าประมาณ 1 พันล้านดอลลาร์) ซึ่งเขาจะนำหุ้นก้อนนี้ไปแลกเป็นหุ้นใน X Holdings I แทน
นอกจากนี้ยังมี Qatar Investment Authority บริษัทลงทุนของรัฐบาลกาตาร์ ที่ลงทุน 375 ล้านดอลลาร์ใน X Holdings I แต่ไม่ระบุสัดส่วนหุ้นที่แน่ชัดด้วย
ที่มา - SEC, BBC, The Verge, TechCrunch, Insider, Bloomberg |
# EA เซ็นสัญญาทำเกม Marvel 3 เกม เกมแรกคือ Iron Man พัฒนาโดย Motive Studios
EA ประกาศเซ็นสัญญากับ Marvel พัฒนาเกมร่วมกันอย่างน้อย 3 เกม โดยเกมแรกเปิดเผยแล้วว่าเป็นเกม Iron Man แบบเล่นคนเดียว มุมมองบุคคลที่สาม พัฒนาโดย Motive Studios ที่มีผลงานเกม Star Wars: Squadrons และกำลังทำ Dead Space ภาครีเมค ออกขายเดือนมกราคม 2023
เกม Iron Man เกมนี้มีเนื้อเรื่องเฉพาะของตัวเอง หัวหน้าทีมพัฒนาคือ Olivier Proulx ซึ่งมีประสบการณ์ทำเกม Marvel’s Guardians of the Galaxy กับ Square Enix มาก่อน ตอนนี้ยังไม่เปิดเผยวันวางขายและแพลตฟอร์ม
ส่วนอีก 2 เกมยังไม่เปิดเผยข้อมูลใดๆ
ที่มา - EA |
# Netflix ซื้อกิจการ Spry Fox สตูดิโอผู้พัฒนาเกม - เป็นบริษัทที่ 6 แล้ว
Netflix ประกาศซื้อกิจการสตูดิโอผู้ผลิตเกม Spry Fox ซึ่งเป็นบริษัทที่ 6 ที่ Netflix ซื้อกิจการเข้ามาอยู่ภายใต้ส่วนธุรกิจเกม
Spry Fox เป็นสตูดิโอเกมอินดี้ เน้นพัฒนาเกมออริจินัลของตนเอง มีเกมเด่น เช่น Triple Town, Alphabear และ Cozy Grove ซึ่ง Netflix มองว่า จะช่วยให้พอร์ตโฟลิโอเกมของ Netflix มีความหลากหลาย รองรับผู้เล่นทุกกลุ่มมากขึ้น
Daniel Cook ผู้ร่วมก่อตั้ง Spry Fox บอกว่าหลังการพูดคุยกับ Netflix มาหลายครั้ง ก็ตัดสินใจเข้าร่วมในฐานะผู้พัฒนาเกมภายใต้ Netflix
ที่มา: Netflix |
# เผย Elon Musk สั่งทีมวิศวกร Twitter ให้นำแอปวิดีโอสั้น Vine กลับมาให้บริการอีกครั้ง
ความเคลื่อนไหวจาก Twitter หลัง Elon Musk ซื้อกิจการยังคงมีรายงานออกมาเรื่อย ๆ ล่าสุด Axios ได้ข้อมูลจากหลายแหล่งข่าวตรงกัน ว่า Musk แนะนำให้ทีมวิศวกรของ Twitter นำ Vine แอปวิดีโอสั้น กลับมาเปิดให้บริการอีกครั้งภายในสิ้นปีนี้
Vine เป็นแอปวิดีโอสั้นที่ Twitter ซื้อกิจการมาและเปิดตัวในปี 2013 และประกาศปิดตัวในปี 2016
รายงานบอกว่าทีมวิศวกรของ Twitter เริ่มได้รับมอบหมายให้กลับไปดูโค้ดเก่าของ Vine แล้ว ทั้งนี้คาดว่าเหตุผลที่ Musk อยากนำ Vine กลับมา ก็เพื่อลงสู่สนามแข่งขันคลิปวิดีโอขนาดสั้น ที่ตอนนี้ TikTok ได้รับความนิยมสูงอยู่
ที่มา: Axios |
# เตรียมขุดสมบัติ! ญี่ปุ่นกำลังจะขุดเอาแร่หายากจากใต้ทะเลขึ้นมาใช้ได้แล้ว
เมื่อ 4 ปีก่อนมีการนำเสนอข่าวการพบแหล่งแร่หายากในชั้นโคลนใต้ทะเลลึกของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นแหล่งแร่ขนาดใหญ่ที่สามารถขุดมาใช้ได้หลายร้อยปีก็ไม่หมด ตอนนี้ทางการญี่ปุ่นก็ตระเตรียมที่เริ่มขุดเจาะเอาแร่ที่ว่าขึ้นมาใช้แล้ว
แหล่งแร่ที่ว่านี้อยู่ในชั้นโคลนใต้ทะเลบริเวณใกล้กับเกาะ Minamitori ซึ่งเป็นเกาะที่อยู่ห่างออกไปจากโตเกียวราว 1,900 กิโลเมตร โดยประเมินว่าจะมีแร่ REO รวมกันประมาณ 16 ล้านตัน ซึ่ง REO (Rare Earth Oxide) ที่ว่านี้หมายถึงแร่ออกไซด์ของธาตุหายากอันเป็นวัตถุดิบสำคัญของภาคอุตสาหกรรมนานาชนิดรวมถึงอุตสาหกรรมชิ้นส่วนไอที
เกาะ Minamitori ซึ่งอยู่ห่างจากโตเกียวออกไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ราว 1,900 กิโลเมตร (ที่มาภาพ: Wikimedia, CC0
ธาตุหายากที่ว่านี้ คือธาตุ 17 ชนิดที่พบได้ยากในธรรมชาติ อันได้แก่ สแกนเดียม, อิตเทรียม, แลนทานัม, ซีเรียม, เพรซีโอดิเมียม, นีโอดิเมียม, โพรมีเทียม, ซาแมเรียม, ยูโรเพียม, แกโดลิเนียม, เทอร์เบียม, ดิสโพรเซียม, โฮลเมียม, เออร์เบียม, ทูเลียม, อิตเตอร์เบียม และลูทีเชียม ซึ่งสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย อาทิ ใช้ทำสารเรืองแสง, ใช้ในการผลิตแม่เหล็ก, ใช้ในการสร้างเลเซอร์, ใช้เพื่อผลิตชิ้นส่วนอากาศยาน เป็นต้น
ด้วยความที่นำไปใช้ประโยชน์ได้มากหลากหลายด้าน แต่กลับขุดเจาะนำเอาแร่เหล่านี้มาใช้งานได้ยากนัก ทำให้แร่เหล่านี้มีมูลค่าสูง ด้วยเหตุนี้จึงส่งผลให้จีนซึ่งเป็นเจ้าของแหล่งแร่สำคัญที่มีอยู่เดิมมีอำนาจในการต่อรองทางการค้ากับญี่ปุ่นและประเทศอื่นๆ ทั่วโลก ทั้งยังมีอิทธิพลต่อกลไกราคาสินค้าอุตสาหกรรมหลายประเภท
ข้อมูลจาก USGS (United States Geological Survey) หน่วยงานสำรวจข้อมูลธรณีศาสตร์ของสหรัฐอเมริการะบุว่าในปี 2021 ประเทศจีนมีปริมาณแร่ที่ขุดมามากถึง 168,000 ตัน กุมส่วนแบ่งตลาดแร่หายากของโลกไว้สูงถึง 60.6%
ที่มา: USGS - Mineral Commodity Summaries 2022 (Rare Earths)
ในขณะที่ข้อมูลเกี่ยวกับปริมาณแร่หายากสำรองของโลกจากรายงานของ USGS ฉบับเดียวกัน ระบุข้อมูลปริมาณแร่หายากที่มีสำรองในปี 2021 โดยจีนนำหน้ามาเป็นอันดับหนึ่งด้วยปริมาณแร่ 44 ล้านตัน ในขณะที่เวียดนาม, บราซิล และรัสเซียตามมาที่ 22, 21 และ 21 ล้านตัน ตามลำดับ หากญี่ปุ่นสามารถนำเอาแร่ 16 ล้านตันของตัวเองจากใต้ทะเลขึ้นมาใช้งานได้จริง จะทำให้ปริมาณสำรองแร่หายากของญี่ปุ่นก้าวขึ้นมาเป็นอันดับ 5 ของโลกได้ในทันที
ที่มา: USGS - Mineral Commodity Summaries 2022 (Rare Earths)
ด้วยเหตุนี้เมื่อญี่ปุ่นเจอแหล่งแร่ในเขตแดนของตนเองจึงกลายเป็นโอกาสอันดีและมีความพยายามผลักดันให้มีการขุดเจาะนำเอาแร่เหล่านั้นขึ้นมาใช้ให้ได้โดยเร็ว ซึ่งอันที่จริงทางการญี่ปุ่นนั้นพบแหล่งแร่แห่งนี้มานาน 10 ปีแล้ว แต่สาเหตุสำคัญที่ยังไม่ได้ขุดเอาแร่พวกนี้มาใช้เป็นเพราะข้อจำกัดทางเทคโนโลยี เพราะการจะดึงเอาแร่มีค่าที่ฝังตัวอยูในชั้นโคลนใต้ทะเลลึกกว่า 6 กิโลเมตรย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย ทว่าตอนนี้ทางการญี่ปุ่นคิดว่าพวกเขาอยู่ในจุดที่พร้อมจะเดินหน้าแล้ว
เมื่อปีที่แล้วได้มีการทดสอบเทคโนโลยีการขุดเจาะนำแร่จากใต้ทะเลขึ้นมาใช้งานโดยการใช้เรือสูบเอาสิ่งที่อยู่ใต้ผิวดินที่ลึกลงไปจากระดับน้ำทะเลขึ้นมา โครงการทดสอบดังกล่าวเป็นแผนงานส่วนหนึ่งของการวิจัยและค้นคว้าของ Japan Agency for Marine-Earth Science and Technology (JAMSTEC) หน่วยงานวิจัยและค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ของญี่ปุ่นที่เน้นศึกษาด้านธรณีศาสตร์และสมุทรศาสตร์โดยเฉพาะ
JAMSTEC ใช้เรือเจาะสำรวจที่ชื่อ Chikyu ซึ่งสามารถเจาะชั้นดินในทะเลลึกเพื่อเก็บตัวอย่างเนื้อดินหรือหินขึ้นมาเพื่อการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ได้ ทั้งยังสามารถติดตั้งระบบสูบโคลนจากจากใต้ทะเลขึ้นมาได้ด้วย และการปฏิบัติงานเมื่อปีกลายเรือ Chikyu ได้สูบโคลนจากระดับความลึก 2,470 เมตรผ่านท่อที่ต่อเป็นแนวดิ่งขึ้นมาสู่ผิวน้ำได้ในอัตราวันละ 70 ตัน ถือเป็นครั้งแรกของโลกที่มีเครื่องจักรที่สามารถสูบเอาโคลนจากใต้ทะเลลึกขึ้นมาได้ในปริมาณมากเช่นนี้
เรือเจาะสำรวจทางวิทยาศาสตร์ Chikyu ของ JAMSTEC (ที่มาภาพ: JAMSTEC)
ภาพแสดงการทำงานของเรือ Chikyu ในการสูบโคลนจากชั้นดินใต้ทะเลลึก (ที่มาภาพ: JAMSTEC)
ผลจากความสำเร็จในการทดสอบการสูบโคลนจากใต้ทะเลลึกของเรือ Chikyu นี้ทำให้รัฐบาลญี่ปุ่นเตรียมจัดสรรงบประมาณในปีหน้าเพื่อขยายผลนำเอาเทคโนโลยีที่ว่านี้มาใช้งานในการขุดเจาะเพื่อนำเอาแร่หายากใต้ทะเลบริเวณเกาะ Minamitori ขึ้นมา โดยการใช้ท่อยาว 6,000 เมตรต่อจากชั้นโคลนใต้ทะเลขึ้นมายังผิวน้ำ ทั้งนี้เป้าหมายในการขุดเจาะนั้นต้องการสูบโคลนขึ้นมาให้ได้วันละ 350 ตัน
และในอนาคตทางการญี่ปุ่นตั้งเป้าหมายว่าจะเตรียมการให้พร้อมที่จะเปิดให้ภาคเอกชนที่สนใจสามารถเข้ามารับสัมปทานดำเนินการขุดเจาะแร่ได้ภายในปี 2028
ที่มา - The Japan News |
# Instagram ยืนยันระบบมีปัญหา ทำบัญชีผู้ใช้ขึ้นว่าถูกระงับการใช้งาน
Instagram ประกาศใน Twitter ยืนยันว่าระบบมีปัญหา กำลังตรวจสอบและแก้ไขอยู่ หลังมีรายงานว่าผู้ใช้หลายคนขึ้นว่าบัญชีถูกระงับการใช้งาน 30 วัน
ที่มา - @InstagramComms |
# กูเกิลออกอัพเดตให้แอพ Pebble ที่ตายไปนานแล้ว รองรับ Android 64 บิตด้วย
นาฬิกาอัจฉริยะรุ่นแรกๆ Pebble เลิกกิจการไปตั้งแต่ปี 2016 โดยขายสินทรัพย์ให้ Fitbit โดย Fitbit ปิดเซิร์ฟเวอร์ของ Pebble ในปี 2018 หลังจากนั้นยังมีชุมชนผู้ใช้งานคอยช่วยดูแลกันต่อไปในชื่อ Rebble
สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นคือ Fitbit ขายกิจการต่อให้กูเกิล (เสร็จสมบูรณ์ในปี 2021) ทำให้ตอนนี้กูเกิลมีสถานะเป็น "เจ้าของ" สินทรัพย์ของ Pebble ด้วย
เรื่องราวมาเกี่ยวข้องกันได้อย่างไม่น่าเชื่อ หลัง Pixel 7 เป็น Android 64 บิตล้วน ทำให้แอพ Pebble บนสมาร์ทโฟนของเดิม (ที่ดูแลโดยชุมชน Rebble โดยไม่มีซอร์สโค้ด) ไม่สามารถเชื่อมต่อกับ Pixel 7 ได้ เพราะสืบทอดกันมาตั้งแต่ยุค 32 บิต
ในกรณีทั่วไป ชุมชนผู้ใช้ Pebble ที่ยังเหลืออยู่คงยอมแพ้ และแนะนำกันว่าอย่าใช้คู่กับ Pixel 7 หรือสมาร์ทโฟน Android 64 บิตรุ่นอื่นๆ ในอนาคต แต่เรื่องนี้มีเซอร์ไพร์ส เพราะกูเกิลกลับออกแอพ Pebble เวอร์ชันคอมไพล์เป็น 64 บิตมาให้ใช้กัน (นอกจากปรับเป็น 64 บิตแล้วยังปรับปรุงเรื่อง Caller ID เวลามีคนโทรเข้าแล้วแจ้งเตือนถูกต้องให้ด้วย)
ตัวแอพ Pebble ไม่มีบน Play Store มานานแล้ว กรณีนี้กูเกิลเลยทำเป็นไฟล์ APK มาแจกกันให้ชุมชน Rebble แทน
ที่มา - 9to5google |
# Phil Spencer บอกจะออก Call of Duty บน PlayStation ตราบเท่าที่ยังมีเครื่องให้ออก
Phil Spencer หัวหน้าทีม Xbox ยังต้องตอบคำถามเรื่องอนาคตของ Call of Duty อีกเรื่อยๆ และรอบนี้เขาพูดออกมาอย่างตรงไปตรงมาที่สุดเท่าที่เคยตอบมา ว่า Call of Duty จะอยู่บน PlayStation ตราบเท่าที่ยังมีเครื่องให้เล่นกัน (as long as there's a PlayStation out there to ship to)
ก่อนหน้านี้ โซนี่กับไมโครซอฟท์โต้เถียงกันเรื่องนี้บ่อยครั้ง โดย Jim Ryan ซีอีโอของ PlayStation เคยออกมาพูดว่าไมโครซอฟท์เสนอต่อสัญญาอีก 3 ปีจากสัญญาฉบับปัจจุบัน ซึ่งเขามองว่าไม่ดีพอ
ส่วน Spencer เพิ่งออกมาพูดว่าอยากเห็น Call of Duty ไปอยู่บนทุกๆ แพลตฟอร์ม ลักษณะเดียวกับที่ไมโครซอฟท์ทำกับ Minecraft ซึ่งการออกมาสัญญาว่าจะออกบน PlayStation ตลอดไปตราบเท่าที่ยังมีคอนโซลเครื่องนี้อยู่ ก็น่าจะส่งสัญญาณชัดเจนว่าไม่เก็บเป็นเอ็กซ์คลูซีฟ Xbox แน่นอน
ที่มา - Eurogamer |
# [ไม่ยืนยัน] Musk เดินหน้าลดพนักงาน Twitter ชุดแรก 25%
Wall Street Journal อ้างแหล่งข่าวไม่เปิดเผยตัวตน 4 ราย ระบุว่าทีมงานของ Elon Musk กำลังเดินหน้าปลดพนักงาน Twitter ออก 25% พร้อมๆ กับการเปลี่ยนแนวทางการดูแลเนื้อหา
ก่อนหน้านี้เคยมีข่าวว่า Musk จะปลดคนออกถึง 75% แต่ Musk ก็ตอบพนักงานว่าไม่จริง แต่หลายคนก็คาดกันได้ว่าจะปลดคนจำนวนหนึ่ง
ตอนนี้ Alex Spiro ทนายความของ Musk เข้าไปบริหารหลายทีมใน ทั้งฝ่ายกฎหมาย, ความสัมพันธ์กับรัฐบาล, และการตลาด และเขายังเป็นผู้ดูรายละเอียดการปลดคนครั้งนี้
ที่มา - Wall Street Journal |
# Kakao และ Twitter เตือนผู้ใช้หยุดโพสต์ข่าวลือรวมทั้งภาพและคลิปเหตุการณ์ที่ Itaewon
จากอุบัติเหตุที่ Itaewon ซึ่งมีผู้คนจำนวนมากไปรวมตัวแออัดในสถานที่เดียวกันเมื่อคืนวันที่ 29 ตุลาคมที่ผ่านมาจนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก ได้มีการโพสต์ข้อความแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเหตุการณ์ในครั้งนี้กระจายไปทั่วโลกรวมทั้งกลุ่มชาวเกาหลีใต้เอง โดยในแพลตฟอร์มเครือข่ายสังคมออนไลน์ยอดนิยมของชาวเกาหลีอย่าง Kakao และ Twitter ก็มีผู้แสดงความเห็นและโพสต์ภาพรวมทั้งคลิปเหตุการณ์ในตอนนั้นกันเป็นจำนวนมาก
ด้านผู้ให้บริการแพลตฟอร์มอย่าง Kakao และ Twitter จึงได้ออกแถลงการณ์ขอร้องให้ผู้ใช้งานในระบบของตนหยุดการโพสต์หรือส่งต่อข้อความที่มาจากการคาดเดาไปเอง เพื่อป้องกันการแพร่สะพัดของข่าวลือในเหตุการณ์นี้ที่อาจบิดเบือนไปจากความจริง รวมทั้งหยุดการโพสต์และส่งต่อภาพหรือคลิปวิดีโอเพื่อเป็นการให้เกียรติแก่ผู้สูญเสียจากเหตุสลดในครั้งนี้
Kakao Daum Cafe เว็บบอร์ดสนทนาชื่อดังของเกาหลีใต้ได้โพสต์ข้อความขอร้องผู้ใช้งานดังนี้
ข้อความประกาศจาก Kakao Daum Cafe
ด้าน @TwitterKorea ซึ่งเป็นบัญชีทางการของ Twitter ประจำประเทศเกาหลีใต้ได้ทวีตข้อความดังนี้
หวังเป็นอย่างยิ่งว่าชาวเน็ตไทยเองก็จะระมัดระวังในการแสดงความคิดเห็นบนเครือข่ายสังคมออนไลน์ เพื่อไม่แพร่ข้อมูลที่อาจมีความคลาดเคลื่อนบิดเบือน และไม่โพสต์ภาพหรือวิดีโอของผู้ประสบเหตุเพื่อเป็นการให้เกียรติแก่ผู้ประสบเหตุทุกคน
ที่มา - Koreaboo |
# Google เตรียมอุทธรณ์โทษปรับเงินของอินเดีย แย้ง 3 ประเด็นสำคัญว่าตัดสินไม่เหมาะสม
สืบเนื่องจากประเด็นที่ CCI คณะกรรมการด้านการแข่งขันทางการค้าของอินเดียได้สั่งปรับเงิน Google รวม 2 ครั้งเป็นจำนวนเงินราว 10.4 พันล้านบาท โดยระบุว่าเป็นโทษปรับเนื่องจาก Google มีพฤติกรรมการทำธุรกิจที่ผูกขาดในหลายตลาดของอินเดียส่งผลให้นักพัฒนาและผู้ประกอบการในอินเดียเสียผลประโยชน์ที่พึงได้จากการแข่งขันทางการค้า
โดยนอกเหนือจากคำสั่งปรับเงินแล้ว CCI ยังได้ระบุให้ Google แก้ไขแนวทางการดำเนินงานต่างๆ รวมทั้งรายละเอียดข้อตกลงที่ Google ทำกับนักพัฒนาตลอดจนบริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง
แหล่งข่าวที่ไม่เปิดเผยชื่อได้รายงานว่าทาง Google เองนั้นไม่เห็นด้วยกับคำสั่งปรับเงินดังกล่าว โดยเตรียมยื่นอุทธรณ์โทษพร้อมชูประเด็นสำคัญ 3 ข้อมาโต้แย้งข้อกล่าวอ้างของทาง CCI
1. วิธีการคำนวณตัวเลขค่าปรับ
Google ระบุว่าหลักการคำนวณตัวเลขค่าปรับของ CCI นั้นไม่ถูกต้อง เนื่องจากใช้หลักคิดในการปรับเงินเพื่อ "ลงโทษ" ไม่ใช่เพื่อชดเชยหรือชดใช้ความเสียหาย โดยปกติแล้วการลงโทษนี้จะทำเมื่อผู้ถูกกล่าวหานั้นได้ดำเนินการกระทำผิดโดยจงใจโดยมีเจตนาละเมิดผู้อื่นโดยตรง
ทว่า Google ยืนยันว่าการทำธุรกิจของ Google ในอินเดียนั้นไม่ได้ขัดต่อข้อกฎหมายอื่นใดเลย ถึงอย่างนั้นก็ตามหากผลของการกระทำจาก Google ส่งผลให้เกิดภาวะที่ไม่มีการแข่งขันทางการค้าอย่างที่พึงเป็น Google ก็เข้าใจได้ว่าจำเป็นต้องมีการจ่ายเงินเพื่อชดเชยผลสืบเนื่องจากเหตุดังกล่าว ซึ่งวิธีการคำนวณตัวเลขเพื่อปรับเงินด้วยวัตถุประสงค์นี้จะไม่ใช่การกำหนดตัวเงินแบบที่ CCI ทำซึ่งชัดเจนว่านั่นเป็นสั่งปรับเพื่อเป้าหมายในการลงโทษเท่านั้น
2. คำสั่งของ CCI ขัดต่อการคุ้มครองของกฎหมายว่าด้วยเรื่องทรัพย์สินทางปัญญา
หนึ่งในคำสั่งของ CCI นั้นระบุให้ Google อนุญาตให้มีผู้แข่งขันในธุรกิจรายอื่นสามารถพัฒนาระบบปฏิบัติการมาแข่งขันได้ โดยบีบให้ Google ยอมให้ผู้พัฒนาระบบปฏิบัติการรายอื่นสามารถ fork ระบบปฏิบัติการ Android มาทำตลาดแข่งขันได้อย่างอิสระ ซึ่ง Google มองว่านั่นไม่สมด้วยเหตุผล โดยระบุว่า
3. ไม่มีการนำเสนอหลักฐานจากฝั่งผู้บริโภค
Google มองว่าการสรุปความของ CCI นั้นขาดหลักฐานที่แสดงถึงมุมมองหรือผลกระทบที่เกิดขึ้นจริงต่อฝั่งของผู้บริโภค โดยกล่าวว่า
แหล่งข่าวที่ให้ข้อมูลข้างต้นทั้งหมดนี้ยังระบุว่า Google เตรียมที่จะนำข้อโต้แย้งเหล่านี้ไปใช้ในการอุทธรณ์โทษปรับต่อ National Company Law Appellate Tribunal (NCLAT) ซึ่งเป็นศาลอุทธรณ์ที่รัฐบาลอินเดียก่อตั้งขึ้นเพื่อรับเรื่องอุทธรณ์จากบริษัทต่างๆ ภายใต้กฎหมาย Companies Act ของอินเดีย
ภาพ Google Doodle India Republic Day 2019
ที่มา - The Indian Express |
# อ่วม! อินเดียสั่งปรับเงิน Google อีก 4.2 พันล้านบาท หลังเพิ่งปรับ 6.2 พันล้านบาทไปหยกๆ
เมื่อเกือบ 2 สัปดาห์ที่แล้ว Competition Commission of India (CCI) คณะกรรมการด้านการแข่งขันทางการค้าของอินเดีย ได้สั่งปรับเงิน Google เป็นจำนวน 133.78 พันล้านรูปี (คิดเป็นเงินไทยราว 6.2 พันล้านบาท) ในประเด็นการผูกขาดทางการค้าเกี่ยวกับอุปกรณ์ Android ล่าสุด CCI ได้มีคำสั่งปรับเงินจากประเด็นเดียวกันเพิ่มอีก 93.64 พันล้านรูปี (ประมาณ 4.2 พันล้านบาท) เท่ากับว่าภายในเดือนเดียว CCI สั่งปรับเงิน Google รวม 10.4 พันล้านบาท
ครั้งก่อนที่สั่งปรับเงิน 6.2 พันล้านบาทนั้นมีประเด็นที่กว้างครอบคลุมทั้งเรื่องการครองตลาดระบบปฏิบัติการสำหรับสมาร์ทโฟน, ร้านค้าแอปต่างๆ สำหรับอุปกรณ์ที่รัน Android, บริการค้นหาข้อมูลผ่านเว็บ, เว็บเบราว์เซอร์แบบไม่จำกัดระบบปฏิบัติการ และแพลตฟอร์มวิดีโอออนไลน์ แต่คำสั่งปรับเงินรอบใหม่เจาะจงเรื่องที่ Google บังคับให้ผู้ใช้อุปกรณ์ Android ต้องซื้อแอปร่วมทั้งบริการและไอเทมในแอปผ่านทาง Play Store เท่านั้น
ประเด็นเกี่ยวกับคำสั่งปรับเงินว่าด้วยเรื่องการผูกขาดร้านค้าแอปทั้ง 2 รอบนี้มีแง่มุมที่แตกต่างกันอยู่เล็กน้อย ครั้งก่อนนั้นเป็นเรื่องที่ CCI มองว่าผู้เสียผลประโยชน์คือเจ้าของแพลตฟอร์มร้านขายแอปเจ้าอื่นๆ ที่ไม่มีโอกาสแข่งขันกับ Google ส่วนการปรับเงินครั้งหลังนี้เป็นมุมมองที่คำนึงถึงการเสียผลประโยชน์ของนักพัฒนาซึ่งไม่มีทางเลือกในการขายซอฟต์แวร์ของตนเองเพราะต้องรับผ่านระบบชำระเงินของ Google ทางเดียวเท่านั้นซึ่งมีการกำหนดสัดส่วนการแบ่งรายได้ที่นักพัฒนาไม่สามารถต่อรองได้
หากเปรียบเทียบให้เห็นภาพง่ายขึ้น เปรียบเสมือน Google เป็นเจ้าของตลาดสดขนาดใหญ่ที่ใช้วิธีการบางอย่างกำหนดให้ชาวบ้านมาจับจ่ายซื้อสินค้าที่ตลาดของตนเองเท่านั้นโดยไม่สามารถไปซื้อของที่ตลาดหรือห้างอื่นได้ ซึ่งพฤติการณ์เช่นนี้ย่อมทำให้มีผู้เสียผลประโยชน์ 2 กลุ่ม กลุ่มแรกคือเจ้าของตลาดแห่งอื่นที่ไม่มีทางปล่อยเช่าแผงได้เพราะไม่มีใครมาขายของ (ไม่ว่าตนเองจะสร้างตลาดได้ดีเพียงใด สะอาดแค่ไหน หรือค่าเช่าแผงถูกอย่างไรก็ตาม) ส่วนคนอีกกลุ่มที่เสียผลประโยชน์ก็คือบรรดาพ่อค้าแม่ขายที่ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องไปเช่าแผงในตลาดของ Google เท่านั้นและไม่มีอำนาจต่อรองอัตราค่าเช่าแผงขายของ
ทางด้าน Google ได้แถลงความเห็นต่อคำสั่งปรับเงินทั้ง 2 ครั้งของ CCI ว่าเป็นการเดินถอยหลังสำหรับผู้บริโภคและภาคธุรกิจในอินเดีย
ภาพ Google Doodle วันประกาศอิสระภาพอินเดียปี 2019
ที่มา - BBC |
# รู้จักทีมพัฒนา NITMX ผู้อยู่เบื้องหลัง PromptPay ที่พลิกโฉมการโอนเงินระดับประเทศ
ในปัจจุบันนี้ ต้องยอมรับว่าระบบการโอนเงินต่างธนาคารแบบ Real-Time มีความสะดวก รวดเร็ว ถูกต้อง ปลอดภัย และใช้งานง่าย โดยเฉพาะประเทศไทยซึ่งมีปริมาณธุรกรรมโอนเงินต่างธนาคารเป็นอันดับต้นๆของโลก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการให้บริการระบบ PromptPay ที่ NITMX เริ่มให้บริการมาตั้งแต่ต้นปี 2560 ซึ่งรองรับการโอนเงินรูปแบบใหม่ด้วยเบอร์มือถือ หรือหมายเลขบัตรประชาชน และการชำระเงินด้วย QR Code Payment ทำให้ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว
แน่นอนว่าการสร้างระบบการโอนเงินต่างธนาคารแบบนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้ง่ายๆ ถ้าไม่มีตัวกลางที่คอยทำหน้าที่ตรวจสอบ เชื่อมโยงและถ่ายโอนข้อมูลการทำธุรกรรม ไม่ว่าจะเป็นหมายเลขบัญชี หมายเลขบัตรประชาชน เบอร์โทรศัพท์ หรือจำนวนเงิน ซึ่งผู้ที่อยู่เบื้องหลัง คือ บริษัท เนชั่นแนล ไอทีเอ็มเอ๊กซ์ จำกัด หรือ NITMX ที่คอยดูแล ตรวจสอบ และพัฒนาปรับปรุงระบบการชำระเงิน โอนเงินระหว่างธนาคารในประเทศไทย หรือที่เรียกกันว่าระบบ ITMX (National Interbank Transaction Management and Exchange) โดยที่ผ่านมาระบบของ NITMX มีเสถียรภาพสูง สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพตลอดเวลา แม้ช่วงเวลาที่มีปริมาณธุรกรรมสูงมากๆ เช่น ช่วงสิ้นเดือน
ตอนนี้โอกาสของนักพัฒนาที่ต้องการจะมีส่วนร่วมในการพัฒนาระบบศูนย์กลางทางการเงินระดับประเทศมาถึงแล้ว บทความนี้เราจะทุกท่านไปเปิดโลกการทำงานของทีมงานหลักๆ ใน NITMX มากยิ่งขึ้น
ทีม Development
คุณโสฬส หงส์หยก ตำแหน่ง Head of Development ของ NITMX เล่าให้ฟังว่า โครงสร้างภายในทีม Development ของ NITMX ไม่แตกต่างจาก Software House ทั่วไปเท่าไหร่นัก เพราะประกอบไปด้วยทีม
Front-End (Fullstack) รับผิดชอบการทำ Web App อย่างระบบรีพอร์ตธุรกรรมและการคิดค่าธรรมเนียม (ธนาคารสมาชิก)
Back-End รับผิดชอบระบบ Microservice ของ PromptPay
DevSecOps ดูแลการทำ Automated Test และ Automated Deploy
CI/CD
คุณโสฬส หงส์หยก Head of Development
ผลิตภัณฑ์ที่ทีม Development ดูแลจะเกี่ยวกับระบบธุรกรรมการเงินต่างๆ ที่ NITMX รับผิดชอบ ขณะที่กรณีของตัวระบบ PromptPay มีการเริ่มพัฒนาตั้งแต่ก่อนที่ NITMX จะมีทีม Development โดยมีการจ้างทีมพัฒนาระดับโลกมาช่วยทำ Core Engine กลาง ทำให้ทีม Development ที่ตั้งภายในจะพัฒนา Microservices ของ Products ต่างๆ ยกตัวอย่างของระบบ PromptPay เช่น API Verify Slip, API Lookup เป็นต้น และผลิตภัณฑ์ ใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น เช่น Cross-Border QR Payment , ICS System เป็นต้น
ในแง่กระบวนการทำงานของทีม ก็ไม่แตกต่างจากบริษัทซอฟต์แวร์ภายนอกเพราะใช้ระบบ Agile and Scrum เมื่อรับ Requirement และ Use-Case Scenario มาแล้วก็จะนำมาวิเคราะห์ ทำ Grooming แล้วนำ Backlog มาทำในแต่ละ Sprint ความแตกต่างสำคัญของการทำงานที่ NITMX คงเป็นเรื่องของความถูกต้องที่ต้องระมัดระวังมาก เพราะทุกส่วนคือความรับผิดชอบระบบการเงินของประเทศ และประสิทธิภาพที่ระบบมีอัตราการใช้งานที่เติบโตสูงต้องรองรับการขยายตัวได้ดี
คุณโสฬสปิดท้ายด้วยว่า ความแตกต่างของการทำงานที่นี่คือ ความภาคภูมิใจ จากการที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ระดับประเทศ หรือเป็นส่วนที่ทำให้ผลิตภัณฑ์มีคุณภาพยิ่งขึ้น รู้สึกว่าทักษะและการพัฒนาทักษะ เกิดประโยชน์ระดับประเทศ มีคนใช้งานจริงๆ
ทีม Solution Architect
คุณน้ำพุ ทิพย์สถานสมบัติ ตำแหน่ง Solution Architect อธิบายว่าทีมนี้มีอยู่ 2 หน้าที่หลักๆ คือการหาเทคโนโลยี นวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อนำมาใช้งานให้เหมาะสมกับโปรเจกต์และการออกแบบ Solution ในแต่ละโปรเจกต์ตามชื่อตำแหน่ง ศึกษาความเป็นไปได้ ความเหมาะสม ทั้งในแง่เทคโนโลยี, Infrastructure, Middleware, ความปลอดภัย ไปจนถึงต้นทุนที่เหมาะสม ซึ่ง Solution Architect จะต้องเข้าไปมีส่วนร่วมในทุกๆ โปรเจกต์ของ NITMX
คุณน้ำพุ ทิพย์สถานสมบัติ Solution Architect
คุณน้ำพุยกตัวอย่างกรณี PromptPay ที่แม้ว่าจะเริ่มพัฒนามาตั้งแต่ก่อน NITMX มีทีมงาน แต่หน้าที่ของ Solution Architect คือ ต้องคิดตั้งแต่ได้รับ Requirement มาว่า Concept หรือหน้าตาของระบบนี้ควรจะเป็นอย่างไร และเมื่อใช้เบอร์โทรศัพท์หรือบัตรประชาชนเป็นหมายเลขโอนเงิน ก็ต้องคิดว่า ระบบจะรู้ได้อย่างไร ว่าเบอร์โทรศัพท์นั้นๆ เชื่อมกับบัญชีอะไร ธนาคารไหน งานทั้งหมดจะเกิดจากการจินตนาการ ก่อนต่อยอดเป็นการทำเวิร์กชอปเก็บ Requirement เพิ่ม เพื่อเติมเต็มตัวผลิตภัณฑ์
ทีม Application Engineer
ทีม Application Engineer อาจมีหน้าที่คล้ายกับ Solution Architect อยู่บ้าง โดยคุณวลัยนุช ธรรมนิตยกุล ตำแหน่ง Application Engineer Team Lead เล่าว่า Application Engineer (ต่อไปนี้จะเรียกสั้นๆ ว่าทีม App) จะต้องเข้าไปอยู่ในทุกๆ โปรเจกต์ตั้งแต่ต้นเหมือน Solution Architect
แต่ความแตกต่างคือ Solution Architect อาจจะออกแบบในภาพใหญ่ แต่ทีม App จะออกแบบและเขียนสเปคเฉพาะ Level ของแอปพลิเคชัน ก่อนส่งต่อให้ทีม Development รับไปต่อ
คุณวลัยนุช ธรรมนิตยกุล Application Engineer Team Lead
นอกจากโปรเจกต์ใหม่ที่เริ่มจากศูนย์แล้ว โปรเจกต์ที่พัฒนาต่อยอดจากของเดิมก็จะเป็นทีม App ที่ดูแลตั้งแต่ต้น เช่น การปรับปรุงระบบเพื่อการรองรับธุรกรรมต่อวินาที (Transaction Per Second), ระบบ QR หรือการโอนข้ามประเทศของ PromptPay ก็เป็นทีม App ที่รับ Requirement และนำไปดีไซน์สเปค
อีกหนึ่งหน้าที่ของทีม App คือการเป็น Second-line Support ที่จะรับ Ticket ปัญหาต่างๆ จากทีม Operation (หรือทีม Support ที่คอยรับเรื่องจากธนาคารแบบ 24/7) เพื่อตรวจสอบและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น
คุณวลัยนุชบอกด้วยว่า ความสนุก ความท้าทาย และความภาคภูมิใจในการทำงานกับทีม App คือการเอาชนะข้อจำกัดต่างๆ ทั้งเวลาและทรัพยากร รวมถึงการต้องออกแบบระบบที่สามารถเชื่อมโยงกับแต่ละธนาคาร ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ที่มีระบบภายในที่แตกต่างกัน ให้สามารถวิ่งผ่านและเชื่อมต่อกันได้ทั้งหมด โดยที่ธนาคารไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไรเยอะ
ทีม Cloud Platform
ทีม Cloud ที่ NITMX จะแบ่งเป็น 2 ทีมย่อยหลักๆ คือ Cloud Infra ที่ดูแลโครงสร้างพื้นฐาน Cloud และ AIOps ที่ตรวจสอบและวิเคราะห์ ป้องกันปัญหา โดยระบบ Cloud ของ NITMX ณ ตอนนี้จะเป็นการวางเซิร์ฟเวอร์แบบ On-Premise ทั้งหมด 100% โดยใน Roadmapในอนาคตก็มีแผนจะปรับเป็น Hybrid ด้วย
หน้าที่ของทีม Cloud Platform ก็ไม่น่าจะแตกต่างกับที่อื่นมากนัก อย่างทีม Infra ก็จะรับ Requirement ร่วมกับทีม App ว่าต้องใช้เซิร์ฟเวอร์แบบไหน ขนาดเท่าไหร่ โหลดเท่าไหร่ โดยใช้เทคโนโลยี Cloud เช่น VM และ SDN ส่งต่อให้ทีม App
ขณะที่ฝั่ง AIOps มีหน้าที่ทำ Real-Time Monitor Dashboard สำหรับโปรเจกต์ใหม่ๆ หาระบบ Automation มาช่วยในการมอนิเตอร์ หรือนำ Big Data มาวิเคราะห์ คาดการณ์และเตรียมตัวรับปัญหาช่วงที่มีการทำธุรกรรมสูงๆ ขณะที่เครื่องมือที่ใช้ก็เป็น Open Source ยอดฮิตทั่วไป เช่น Elasticsearch, Grafana หรือ Tableu ส่วนระบบ AI ก็เขียนจาก Python เป็นหลัก
คุณธนกร เจริญเชาว์ Cloud Platform Team Lead (Infrastructure) (ซ้าย) | คุณบัญชา ปิติโกมล Cloud Platform Team Lead (AIOps)
คุณธนกร เจริญเชาว์ Cloud Platform Team Lead (Infrastructure) บอกว่าความท้าทาย คือ การต้องดีไซน์ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ให้สามารถรองรับการทำธุรกรรมจำนวนมหาศาลให้ได้ โดยต้องวาง Roadmap เผื่อในอนาคต 3-5 ปีข้างหน้าด้วย ซึ่งตรงนี้เป็นความแตกต่างของการทำงานที่ NITMX จากที่อื่น เพราะไม่ใช่แค่รับงานมาทำให้จบแล้วจบ แต่ต้องมองไปถึงอนาคตด้วย รวมถึงหากธนาคารปรับไปใช้เทคโนโลยีที่ใหม่กว่า ก็ต้องปรับตามให้ทัน หรือบางครั้งที่เลือกใช้เทคโนโลยีที่ใหม่แซงหน้าธนาคาร ก็ต้องปรับเข้าหาธนาคาร
ขณะที่ความท้าทายของฝัง AIOps ในมุมคุณบัญชา ปิติโกมล Cloud Platform Team Lead (AIOps) คือประสิทธิภาพในการมอนิเตอร์และคาดการณ์แบบเรียลไทม์ช่วงที่มีการทำธุรกรรมสูงๆ เช่น ต้นเดือนหรือกลางเดือน ทีมต้องวิเคราะห์ให้ได้ คาดการณ์ก่อนและรู้ก่อนอย่างน้อย 1 วินาทีก่อนเกิดปัญหา เพราะด้วยความที่ PromptPay ส่งผลต่อคนไทยทั้งประเทศ ระบบเกิดปัญหาเพียง 1 วินาทีก็สาหัสแล้ว
คุณธนกรและคุณบัญชาพูดไปในทิศทางเดียวกันว่า การทำงานที่นี่และเห็นการเติบโตของการใช้งานระบบ PromptPay มาตั้งแต่สมัยที่ระบบรองรับธุรกรรมได้ 6 ธุรกรรมต่อวินาที (ปัจจุบันประมาณ 6,000 ธุรกรรมต่อวินาที) ทำให้ได้เห็นอิมแพคที่เกิดขึ้นกับคนไทยจริงๆ เวลาอยู่ข้างนอกแล้วเห็นเด็กหรือผู้สูงอายุ สามารถชำระเงินได้ด้วยการสแกนจ่าย ทำให้รู้สึกว่า ความสะดวกสบายของคนเหล่านั้น เกิดขึ้นจากฝีมือของพวกเราด้วย
สรุป
อาจจะเป็นที่นี่ที่เดียว ที่นักพัฒนาจะมีผลงานที่ส่งผลต่อการใช้ชีวิตของคนไทยในระดับประเทศ สำหรับผู้ที่สนใจที่อยากจะมีส่วนร่วมในการพัฒนาระบบศูนย์กลางการเงินระดับประเทศแห่งนี้ ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.itmx.co.th
หรือสามารถติดต่อได้ที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคล Email: [email protected] หรือ โทร 02 558 7555 |
# โหดรายวัน! Elon Musk สั่งแก้ระบบยืนยันตัวของ Twitter Blue ถ้าแก้โค้ดไม่ทันก็เชิญออกไป
หลังจากมีรายงานว่า Elon Musk เพิ่งมีคำสั่งให้ทีมงาน Twitter แก้ไขหน้าโฮมเพจก่อนล็อกอินเข้าใช้งานเสียใหม่ ตอนนี้มีแหล่งข่าวไม่เปิดเผยชื่อให้ข้อมูลแก่ The Verge ว่า Musk ยังสั่งให้ทีมงานแก้ไขโค้ดเพื่อปรับปรุงระบบของ Twitter Blue ด้วย ซึ่งว่ากันว่าเจ้าของใหม่ Twitter สั่งให้ทีมงานแก้ไขให้เสร็จภายในวันที่ 7 พฤศจิกายนนี้ หรือไม่ก็จะโดนให้ออกจากบริษัท
Twitter Blue เป็นบริการใช้งาน Twitter แบบเสียเงินที่ยังจำกัดเฉพาะผู้ใช้ในบางประเทศ ผู้ที่ใช้งาน Twitter Blue จะต้องยืนยันตัวตนภายใน 90 วันหลังสมัครใช้งาน ถ้าผู้ใช้ไม่ยืนยันตัวตนให้แล้วเสร็จในช่วงเวลาดังกล่าวจะสูญเสียเครื่องหมายไอคอนยืนยันตัวตน
อย่างไรก็ตามมีรายงานเรื่องปัญหาเกี่ยวกับขั้นตอนการยืนยันตัวตนนี้ที่ยุ่งยากและบางคนต้องทำเรื่องส่งข้อมูลให้ตรวจสอบหลายรอบ ซึ่งจุดนี้เองที่ทำให้ Musk สั่งการทีมงานให้แก้ไขเพื่อให้ขั้นตอนการยืนยันตัวตนราบรื่นและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ทั้งนี้การเป็นสมาชิก Twitter Blue จะได้ใช้งานฟีเจอร์พิเศษบางอย่างก่อนผู้ใช้ทั่วไป (ตัวอย่างล่าสุดคือฟีเจอร์การแก้ไขข้อความ) ซึ่งแต่เดิมนั้นเก็บค่าใช้บริการเดือนละ 4.99 ดอลลาร์ แต่แผนตอนนี้คือจะขึ้นราคาเป็น 400% กลายเป็นเดือนละ 19.99 ดอลลาร์
ที่มา - The Verge |
# Meta เล่าประสบการณ์แปลงโค้ด Android จาก Java เป็น Kotlin ไปแล้วกว่า 10 ล้านบรรทัด
Meta เขียนบล็อกเล่าประสบการณ์ย้ายภาษาโปรแกรมที่ใช้เขียนแอพ Android จากเดิม Java มาเป็น Kotlin ซึ่งตอนนี้ย้ายไปแล้วเกิน 10 ล้านบรรทัด (ยังย้ายไม่เสร็จทั้งหมด)
Meta ระบุว่า Kotlin เป็นภาษาที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ในโลกของ Android โดยมีข้อดีเหนือกว่า Java 11 (ที่ใช้ในวงการ Android) หลายด้าน เช่น nullability ที่ระดับของตัวภาษา, รองรับการทำ functional programming ดีกว่า Java, โค้ดสั้นกว่า และรองรับการทำ Domain-specific language (DSL)
ส่วนข้อด้อยของ Kotlin คือเรื่อง build times ระยะเวลาการคอมไพล์ที่นานกว่า Java เพราะเป็นภาษาใหม่ ตัวคอมไพเลอร์ยังไม่ได้ปรับแต่งมาดีเท่ากับ Java ที่อยู่มานานกว่า 20 ปีแล้ว รวมถึงมีฐานผู้ใช้น้อยกว่า Java แม้ได้รับความนิยมมากขึ้นมากแล้วก็ตาม
แต่หลังจากหักลบข้อดีข้อเสีย บริษัทก็ตัดสินใจเลือกไป Kotlin โดยมีทางเลือก 2 แนวทางคือ เขียนโค้ดใหม่เป็น Kotlin แล้วเก็บโค้ดเดิมที่เป็น Java เอาไว้ หรือแปลงทุกอย่างไปเป็น Kotlin ให้หมด
แนวทางแรกใช้แรงน้อยกว่ามาก แต่การเก็บโค้ด Java ไว้ก็มีความยุ่งยากตามมา เพราะต้องไปสนใจเรื่องความเข้ากันได้ระหว่างฟีเจอร์ของสองภาษาที่แตกต่างกัน (โดยเฉพาะเรื่อง nullability) และงานของ Meta ส่วนใหญ่เป็นการปรับแก้โค้ดเดิม หากโค้ดเดิมส่วนใหญ่เป็น Java ก็แทบไม่มีโอกาสเขียน Kotlin กันอย่างเต็มที่อยู่ดี
Meta จึงตัดสินใจเลือกการแปลงโค้ดเก่าเป็น Kotlin ให้หมด แต่เนื่องจากโค้ดมีจำนวนมหาศาล (มีแอพหลายตัวมาก ตั้งแต่ Facebook, Instagram, Messenger, Portal, Quest) การย้ายภาษาจึงต้องใช้เวลาเตรียมตัวพอสมควร
สิ่งแรกที่ Meta ทำคือปรับแก้เครื่องมือภายใน เช่น Redex ที่เป็น Android Bytecode Optimizer ให้รองรับแพทเทิร์นของ Bytecode ที่เกิดจากภาษา Kotlin (ที่ไม่เคยเกิดใน Java มาก่อน) รวมถึงไลบรารีบางตัวที่ใช้เป็นการภายในด้วย
Meta ยังถึงขั้นสร้างเครื่องมือใหม่ๆ ขึ้นมา เช่น Ktfmt ที่ใช้จัดฟอร์แมตโค้ดของ Kotlin ให้สวยงามเป็นระเบียบ หรือเข้าไปช่วยแก้ Pygments ซอฟต์แวร์ syntax highlighter ให้รองรับภาษา Kotlin เพิ่มเติม
เมื่อเครื่องมือพร้อม Meta จึงเริ่มแปลงโค้ด Java เดิมเป็น Kotlin ด้วยเครื่องมือ J2K ของ JetBrains ผู้สร้างภาษา Kotlin แต่ก็ยังมีบางเคสที่ต้องแก้โค้ดด้วยมืออยู่ดี เช่น JUnit testing rules ซึ่งทีมงานใช้วิธีสร้างสคริปต์แก้ไข (ชื่อ Kotlinator) มารันต่อจาก J2K อีกรอบ
หลังจากเริ่มกระบวนการแปลงโค้ดมาแล้วระยะหนึ่ง ตอนนี้ Meta มีโค้ดที่เป็นภาษา Kotlin รวมกันมากกว่า 10 ล้านบรรทัด และกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
บทเรียนที่ได้คือโค้ดสั้นลง (เฉลี่ย 11%), ประสิทธิภาพของแอพเท่าเดิม (เพราะแปลงเป็น Bytecode เหมือนกัน) ส่วนประเด็นเรื่อง build times นานขึ้นนั้นเป็นจริงดังที่คาด ซึ่งวิศวกรของ Meta กำลังหาวิธี optimize ในระบบการคอมไพล์กันต่อไป (Meta ใช้ Buck ที่พัฒนาขึ้นเอง)
ที่มา - Meta Engineering |
# เล่นเองก่อนเลย Elon Musk โพสต์ลิงก์ข่าวปลอมบน Twitter ก่อนลบทิ้งทีหลัง
แนวทางของ Elon Musk ในฐานะเจ้าของใหม่ของ Twitter ประกาศเอาไว้ว่าอยากให้เป็นพื้นที่ถกเถียงทางความคิดที่แตกต่างกัน และจะตั้งกรรมการกำกับดูแลเนื้อหา เพื่อตัดสินว่าควรแบนหรือไม่แบนใคร ในทางตรงข้าม เขาไล่ซีอีโอ และหัวหน้าฝ่ายกำกับดูแลเนื้อหาที่ตัดสินใจแบน Donald Trump ออก
ท่าทีของ Musk ทำให้คนจำนวนมากจับตาดูว่าแนวทางกำกับดูแลเนื้อหาของ Twitter จะเป็นอย่างไรต่อไป ในโลกยุคที่เต็มไปด้วยปัญหา fake news มากมาย
และ Musk ก็ไม่ทำให้ทุกคนรอนาน ด้วยการโพสต์ลิงก์จากเว็บรวมข่าวปลอมด้วยตัวเอง ก่อนลบออกไปในภายหลัง
เหตุการณ์นี้เกิดจาก Musk ไปโพสต์ทวีตโต้ตอบ Hillary Clinton อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ ข้อความต้นทางของ Hillary เป็นข่าวการเมือง โดย Hillary วิจารณ์พรรครีพับลิกันว่าสร้างความเกลียดชัง แพร่ทฤษฎีสมคบคิดในสังคม
Musk ที่มักไม่เห็นด้วยกับฝ่ายของพรรคเดโมแครตมากนักอยู่แล้ว ทวีตข้อความตอบด้วยลิงก์จากเว็บไซต์ Santa Monica Observer ที่ขึ้นชื่อเรื่องการปล่อยข่าวปลอม (เคยเขียนข่าวว่า Hillary เสียชีวิตแล้วเมื่อ 6 ปีก่อน)
ภาพโดย @MollyJongFast
หลังจากถูกกดดันหนัก Musk ลบข้อความทวีตดังกล่าวออกโดยไม่ระบุเหตุผล แต่แก้เก้อโดยการโพสต์ถึงหนังสือพิมพ์ New York Times ที่รายงานข่าวว่าเขาโพสต์ข่าวปลอม ด้วยการบอกว่าข่าวของ Times นั้นปลอม เพราะเขาไม่ได้โพสต์ลิงก์จาก Times (เขาแซะ Times กลับว่าเป็นศูนย์รวมข่าวปลอม)
ที่มา - Bloomberg |
# กูเกิลเปลี่ยนไอคอนแอพ Phone, Messages, Contacts เป็นสีน้ำเงินทั้งชุด
กูเกิลอัพเดตไอคอนของแอพกลุ่มโทรศัพท์ของตัวเอง ได้แก่ Phone, Messages, Contacts เป็นไอคอนแบบใหม่สีน้ำเงิน-ฟ้า เล่นสไตล์ภาพสีซ้อนเหลื่อมกัน ลักษณะคล้ายกับไอคอนชุดใหม่ของแอพกลุ่ม Google Workspace ที่เปลี่ยนไปแล้วตั้งแต่ปี 2020
ตอนนี้หน้าตาไอคอนใหม่แสดงบน Google Play Store แล้ว ส่วนไอคอนแอพบนมือถือยังเปลี่ยนเฉพาะผู้ใช้งานกลุ่ม Beta และน่าจะทยอยเปลี่ยนในวงกว้างอีกไม่นาน
หน้าตาของไอคอน Google Workspace เอาไว้ดูเทียบ
ที่มา - Android Police |
# Elon Musk สั่งแก้ไขโฮมเพจ Twitter ให้เป็นหน้า Explore จากเดิมเป็นหน้าล็อกอิน
การเปลี่ยนแปลงแรกที่ผู้ใช้งาน Twitter สามารถสังเกตเห็นได้ หลังการซื้อกิจการของ Elon Musk นั่นคือเขาสั่งให้เปลี่ยนหน้าแรกหรือโฮมเพจของ Twitter สำหรับผู้ใช้งานทั่วไปที่ไม่ได้ล็อกอินค้างไว้ จากเดิมที่เป็นหน้าล็อกอินเข้าสู่ระบบ ให้เป็นหน้า Explore แสดงเนื้อหาที่เป็นเทรนด์ในขณะนั้น
รายงานระบุว่าคำสั่งนี้ของ Musk ออกมาเมื่อวันศุกร์ ที่เขาเพิ่งเริ่มเข้ามาดูแล Twitter โดยการเปลี่ยนแปลงนี้ต้องใช้พนักงานระดับ VP อนุมัติเพิ่ม เนื่องจากตอนนี้ Twitter สั่งห้ามแก้ไขโค้ดอยู่
อดีตพนักงาน Twitter ให้ความเห็นว่าปกติการเปลี่ยนแปลงโฮมเพจแบบนี้ Twitter จะต้องประชุมหารือกันหลายสัปดาห์ แต่การที่ Twitter สามารถเปลี่ยนแปลงได้ภายในวันเดียว ก็สะท้อนทิศทาง Twitter ในยุค Musk จากนี้
นอกจากนี้ Musk ยังสั่งให้เปลี่ยนชื่อฟีเจอร์ Super Follows เป็น Subscriptions อีกด้วย
ที่มา: The Verge |
# นักวิจัยเวียดนามพัฒนา AI วิเคราะห์ภาพคนเพื่อประเมินระดับความเมา
นักวิจัยจาก Vietnam National University ได้พัฒนาปัญญาประดิษฐ์เพื่อช่วยวิเคราะห์ระดับความเมาของคน โดยสามารถจำแนกคนเมาได้ถูกต้อง 93%
การวิเคราะห์ที่ว่านี้เดิมทีทีมวิจัยตั้งใจใช้วิเคราะห์ภาพคนโดยสังเกตภาพนัยน์ตา, ตำแหน่งศีรษะ และอากัปกิริยาอื่นๆ ที่บ่งบอกถึงระดับความมีสติของบุคคลนั้นๆ อย่างไรก็ตามทีมวิจัยพบว่าแนวทางนี้มีปัญหาวิเคราะห์ผิดพลาดได้ง่ายเนื่องจากปัจจัยอื่นหลายประการ เช่นคนบางคนมีลักษณะบางอย่างบนใบหน้าที่ไปตรงกับข้อมูลที่ปัญญาประดิษฐ์เข้าใจว่าเป็นสิ่งบ่งชี้ถึงอาการมึนเมา ซึ่งนั่นทำให้การตรวจวิเคราะห์ของปัญญาประดิษฐ์ให้ผลผิดพลาด ทีมวิจัยจึงได้คิดเปลี่ยนมาวิเคราะห์ด้วยข้อมูลประเภทอื่น
อย่างที่ทราบกันว่าคนที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปจะมีการสูบฉีดไหลเวียนของเลือดมากขึ้นและทำให้ร่างกายแผ่ความร้อนออกมามากกว่าปกติ ทีมวิจัยจึงใช้เรื่องนี้มาเป็นตัวในการวิเคราะห์ประเมินระดับความเมาของคน โดยใช้การวิเคราะห์ภาพถ่ายความร้อนของตัวบุคคลแทนวิธีการเดิม
เป้าหมายของงานวิจัยนี้เพื่อสร้างระบบที่สามารถช่วยเหลือการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในการตรวจสอบอาการมึนเมาของคนและป้องกันไม่ให้บุคคลดังกล่าวขับรถ หรือใช้เพื่อการคัดกรองคนตามจุดคัดแยกคนก่อนเข้าร่วมงานหรือสถานที่บางแห่ง
สิ่งที่ทีมวิจัยใส่ใจอย่างมากในการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์นี้คือความแม่นยำในการวิเคราะห์ประเมินความเมาของคน หากระบบประเมินให้ผล false negative มากเกินไปนั่นแปลว่าจะไม่สามารถตรวจจับคนที่อยู่ในอาการมึนเมาได้ ซึ่งเท่ากับขาดประสิทธิภาพในการคัดกรอง อาจทำให้มีคนเมาไปขับรถหรือเข้าไปในที่ที่ไม่ควรเข้าได้ ในขณะที่อีกด้านหนึ่งหากปัญญาประดิษฐ์ให้ผลลัพธ์ false positive มากเกินไปแปลว่าระบบอาจเข้าใจผิดจนจัดให้คนปกติเข้าข่ายมีอาการมึนเมา ซึ่งย่อมส่งต่อความเชื่อมั่นในการทำงานของระบบและเกิดการต่อต้านคัดค้านการใช้เครื่องมือนี้เพื่อตรวจวิเคราะห์
เมื่อปลายเดือนที่แล้ว NTSB หน่วยงานด้านความปลอดภัยในการคมนาคมของสหรัฐฯ ได้ออกแถลงการณ์ผลักดันให้ออกกฎหมายบังคับผู้ผลิตรถยนต์ให้ติดตั้งระบบเซ็นเซอร์ตรวจจับอาการมึนเมาของคนขับ ไม่แน่ว่าเทคโนโลยีวิเคราะห์ภาพถ่ายความร้อนนี้วันหนึ่งอาจถูกนำมาใช้ในรถยนต์เพื่อการนี้ก็เป็นได้
ผู้ที่สนใจสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมของงานวิจัยจากเวียดนามนี้ได้ที่นี่
ที่มาภาพ: geralt, CC0
ที่มา - Tech Xplore |
# Air.0 เม้าส์ไร้สายพับใช้ก็ดีคลี่เก็บก็ได้ พกพาสบายเพราะคลี่แล้วบางเหมือนกระดาษ
ไม่นานมานี้มีโครงการระดมทุนบน Kickstarter ที่เพิ่งเริ่มเปิดระดมทุนแล้วได้เงินถึงเป้าภายใน 23 นาทีหลังเปิดโครงการ นั่นคือโครงการสร้าง Air.0 เม้าส์ไร้สายที่มีจุดเด่นตรงที่โครงสร้างของมันถูกออกแบบให้พับและคลี่ได้เหมือนงานพับกระดาษ origami
Air.0 ได้รับการพัฒนาโดยนักออกแบบชาวฮ่องกง Horace Lam เพื่อสร้างเม้าส์ที่เหมาะสำหรับการใช้งานกับเครื่องแล็ปท็อปที่เน้นความสะดวกสบายในการพกพาแต่ยังคงใช้งานได้จับถนัดมือ
วัสดุหลักที่ใช้ทำตัวเม้าส์นั้นเป็นหนังเทียม ซึ่งเป็นวัสดุชนิดเดียวกันกับที่นิยมนำมาทำเคสโทรศัพท์มือถือหรือแท็บเล็ตแบบที่สามารถพับงอได้ โดยในตอนที่ใช้งานนั้นผู้ใช้เพียงพับขึ้นรูปเม้าส์ให้เป็นทรงนูนคล้ายกับเม้าที่ใช้งานทั่วไปโดยจะมีแม่เหล็กเป็นตัวยึดโครงร่างของเม้าส์เอาไว้ให้คงรูปได้ตลอดเวลาขณะใช้งาน และเมื่อใช้งานเสร็จต้องการจัดเก็บก็เพียงคลี่ตัวเม้าส์ออกแผ่เป็นแผ่นบางราบ
หน้าตาเม้าส์ไร้สาย Air.0
ในขณะพับขึ้นทรงเพื่อใช้งาน เม้าส์ Air.0 จะมีความสูง 42 มิลลิเมตร มีความกว้าง 72 มิลลิเมตร และยาว 115 มิลลิเมตร เรียกว่ามีขนาดใหญ่เหมาะมือสำหรับการใช้งานของคนส่วนใหญ๋ โดยตัวเม้าส์มีปุ่มซ้าย-ขวาเป็นปุ่มแบบแมคานิก และมีแถบสัมผัสตรงกลางใช้งานแทนลูกกลิ้งเพื่อเลื่อนหน้าจอขึ้นลง
ส่วนในขณะที่เม้าส์ถูกคลี่ออกเพื่อการจัดเก็บหลังใช้งาน จะมีเพียงแค่บริเวณเซ็นเซอร์จับตำแหน่งของเม้าส์เท่านั้นที่หนา 10 มิลลิเมตร ส่วนบริเวณอื่นๆ ที่เหลือของเม้าส์ซึ่งคิดเป็น 97% ของพื้นผิวทั้งหมดนั้นมีความบางเพียง 4.5 มิลลิเมตรเท่านั้น ซึ่งนี่คือจุดเด่นของ Air.0 ที่สามารถเปลี่ยนรูปทรงให้แบนและบางทำให้สะดวกต่อการจัดเก็บและพกพา โดยน้ำหนักรวมของเม้าส์นั้นหนักเพียงแค่ 40 กรัมเท่านั้น
ในแง่การใช้งานผู้พัฒนายืนยันว่าเม้าส์ Air.0 มีความแข็งแรงทนทาน ด้วยน้ำหนักที่น้อยกว่าเม้าส์ทั่วไปและวัสดุที่ไม่เปราะแตกหักง่าย ทำให้มันสามารถทนแรงกระแทกจากการไม่มีปัญหา ส่วนความแข็งแรงขณะใช้งานนั้นก็ยืนยันทดสอบว่าแรงแม่เหล็กที่ยึดโครงสร้างของตัวเม้าส์เอาไว้สามารถทนแรงกดและแรงบีบจับของมือได้โดยไม่ทำให้รู้สึกว่าใช้งานลำบาก ทั้งนี้ผู้ออกแบบยังได้คิดเรื่องความลื่นไหลในการใช้งานเม้าส์บนพื้นผิวต่างๆ โดยออกแบบขอบของเม้าส์ซึ่งจะเป็นจุดที่สัมผัสพื้นผิวใช้งานให้มีความทนทานแต่ไม่สร้างแรงต้านในการเลื่อนเม้าส์
การตรวจจับตำแหน่งของเม้าส์ Air.0 นั้นอาศัยเซ็นเซอร์อินฟราเรดแบบ HD สามารถตรวจจับการเคลื่อนตำแหน่งได้ 30 นิ้วต่อวินาที โดยมีระดับความละเอียดในการจับตำแหน่ง CPI 4000 (ค่า CPI หรือ counts per inch หมายถึงค่าความละเอียดว่าเม้าส์สามารถแบ่งระยะทาง 1 นิ้วซอยละเอียดได้เป็นกี่ส่วน)
Air.0 สามารถเชื่อมต่อกับเครื่องแล็ปท็อปหรืออุปกรณ์อื่นได้ผ่านบลูทูธ 5.2 มีระยะการเชื่อมต่อ 10 เมตรในการใช้งานบริเวณพื้นที่เปิดโล่ง หรือ 5 เมตรหากเป็นการใช้งานภายในอาคาร รองรับการใช้งานกับอุปกรณ์ในระบบปฏิบัติการ ตั้งแต่ MacOS|iPadOS 13.4 (หรือใหม่กว่านั้น), Android 3.1 (หรือใหม่กว่านั้น) และ Windows 8/8.1/10
ตัวเม้าส์อาศัยพลังงานจากแบตเตอรี่ขนาด 500mAh ซึ่งการชาร์จไฟด้วยสายชาร์จ USB-C นาน 1 นาทีสามารถใช้งานเม้าส์ Air.0 ได้นานต่อเนื่อง 3 ชั่วโมง หรือหากชาร์จไฟจนเต็มก็สามารถใช้งานได้นานราว 3 เดือน โดยตัวเม้าส์จะเปิดการทำงานและใช้ไฟก็ต่อเมื่อผู้ใช้พับขึ้นรูปจนแม่เหล็ก 2 ชิ้นบนตัวเม้าส์ถูกดูดติดกันเท่านั้น
และอย่างที่บอกไปตอนต้นว่าโครงการ Air.0 บน Kickstarter นั้นได้รับเงินสนับสนุนถึงเป้าภายในเวลาอันรวดเร็ว จากเป้าระดมทุนที่ตั้งไว้ 78,000 ดอลลาร์ฮ่องกง (เทียบเท่า 9,937 ดอลลาร์สหรัฐฯ) ตอนนี้ผ่านมาไม่ถึง 1 สัปดาห์ก็มียอดเงินสนับสนุนโครงการไปแล้ว 68,891 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือเกือบ 700% ของเป้าหมายที่ตั้งไว้ สำหรับในตอนนี้สามารถคนที่สนใจยังสามารถสั่งจองเม้าส์ Air.0 ได้ในราคาชิ้นละ 385 ดอลลาร์ฮ่องกง (ประมาณ 1,800 บาท) โดยตอนนี้มีสีให้เลือกทั้งหมด 12 สี
ผู้พัฒนาระบุว่าจะเริ่มผลิตเม้าส์ Air.0 ในช่วงเดือนมกราคมปีหน้าและจะทยอยส่งของในช่วงเดือนมีนาคม 2023 ใครที่สนใจอยากสั่งจองเม้าส์ Air.0 สามารถเข้าสนับสนุนโครงการได้ที่นี่
ที่มา - New Atlas |
# วิดีโอจากยาน Solar Orbiter ของ ESA โชว์ให้เห็นโคโรนาดวงอาทิตย์ในขณะที่มันกำลังสงบ
ESA (องค์การอวกาศแห่งยุโรป) ได้ส่งยาน Solar Orbiter ขึ้นไปสำรวจถ่ายภาพดวงอาทิตย์ตั้งแต่ปี 2020 และเมื่อวันที่ 12 ตุลาคมที่ผ่านมา ยาน Solar Orbiter ได้เคลื่อนที่เข้าในระยะที่ใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุดโดยมีระยะห่างจากดวงอาทิตย์เพียง 1 ใน 3 ของระยะทางจากดวงอาทิตย์มายังโลก
ในช่วงเวลาดังกล่าว ยาน Solar Orbiter ได้ใช้กล้องบันทึกภาพแบบ Extreme Ultraviolet Imager (EUI) ถ่ายวิดีโอที่ทำให้เราได้เห็นโคโรนาของดวงอาทิตย์ที่ชัดเจนที่สุดครั้งหนึ่ง
โคโรนาที่ว่านี้คือพลาสมาที่อยู่ในชั้นบรรยากาศของดวงอาทิตย์และแผ่พุ่งออกมาโดยรอบดวงอาทิตย์เป็นระยะทางหลายล้านกิโลเมตร โคโรนานี้มีอุณหภูมิสูงเสียยิ่งกว่าบริเวณพื้นผิวของดวงอาทิตย์ โดยมีอุณหภูมิมากกว่า 1 ล้านองศาเซลเซียส (ด้วยลักษณะของมันที่แผ่พุ่งออกโดยรอบดวงอาทิตย์ในแนวรัศมีทำให้มองดูคล้ายมงกุฎ จึงมีการนำเอาคำว่า "โคโรนา" ซึ่งเป็นภาษาละตินที่แปลว่ามงกุฎมาใช้เรียกสิ่งนี้นั่นเอง)
ในช่วงขณะที่ยานบันทึกวิดีโอนั้น โคโรนาของดวงอาทิตย์ในส่วนที่มองเห็นนั้นอยู่ภาวะ "สงบ" นั่นคือไม่มีปรากฏการณ์ Coronal Mass Ejection (CME) ซึ่งหมายถึงการที่มวลของดวงอาทิตย์ถูกพ่นออกมาจากพื้นผิวของมัน และไม่มีการลุกจ้า (flare) เกิดขึ้นให้เห็น ซึ่งการลุกจ้าที่ว่านี้เป็นปรากฏการณ์ที่จะเกิดขึ้นเมื่อพลังงานภายในสนามแม่เหล็กในชั้นบรรยากาศของดวงอาทิตย์ถูกปลดปล่อยออกมาอย่างรวดเร็ว จนทำให้เกิดการปล่อยพลังงานในรูปแบบคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าทุกย่านความถี่ตั้งแต่คลื่นวิทยุไปจนถึงคลื่นรังสีแกมมา
ภาวะสงบของดวงอาทิตย์นี้ (หรือที่เรียกว่า "quiet sun") จะคงอยู่ไม่นานนัก หลังจากนี้ปรากฏการณ์ต่างๆ ของดวงอาทิตย์จะเกิดขึ้นบ่อยครั้งขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าและจะเกิดความแปรปรวนขั้นสูงสุดซึ่งเรียกว่าดวงอาทิตย์อยู่ในภาวะ "solar maximum" ในปี 2025 ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเรื่องปกติของดวงอาทิตย์ที่จะมีรอบการเข้าสู่ภาวะดังกล่าวทุกๆ 11 ปี เรียกว่าเป็นวัฏจักรสุริยะ
ที่มา - Digital Trends |
# Kathleen Booth ผู้สร้างภาษา Assembly เสียชีวิตด้วยวัย 100 ปี
Kathleen Booth นักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษ ผู้คิดค้นภาษา Assembly เสียชีวิตแล้ว โดยมีอายุครบ 100 ปีพอดี (เกิดปี 1922)
Kathleen ร่วมกับสามี Andrew Booth ทำงานที่มหาวิทยาลัย Birkbeck College (เป็นส่วนหนึ่งของ University of London) สร้างคอมพิวเตอร์ยุคแรกๆ ชื่อเครื่อง Automatic Relay Calculator (ARC) ในปี 1946 ซึ่งภายหลังพัฒนามาเป็นเครื่อง ARC2 และ Simple Electronic Computer (SEC) ในปี 1948
Kathleen เป็นผู้สร้างซอฟต์แวร์ของเครื่องคอมพิวเตอร์เหล่านี้ ซึ่งภายหลังกลายมาเป็นภาษา Assembly เธอยังเขียนหนังสือชื่อ Programming for an Automatic Digital Calculator ในปี 1958
ภายหลังครอบครัว Booth ย้ายมาอยู่ที่ประเทศแคนาดา และเกษียณอายุไปเมื่อราวปี 1978 ตัวของ Andrew Booth เสียชีวิตไปก่อนเมื่อปี 2009 (อายุ 91 ปี) ส่วน Kathleen มีชีวิตต่อมาจนมีอายุถึง 100 ปี
ที่มา - The Register |
# พลิกตำราธุรกิจ! Comcast เจอปัญหาลูกค้าใหม่ไม่ค่อยมี เลยเตรียมขึ้นค่าบริการมันซะเลย
Comcast หนึ่งในผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตตามบ้านรายใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกาเตรียมปรับราคาค่าบริการเพิ่มสูงขึ้น หลังประสบปัญหามีผู้สมัครใช้บริการน้อยลงในระยะหลัง แถมลูกค้าเดิมบางส่วนก็เริ่มหยุดใช้บริการ
ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ Comcast ไม่สามารถเพิ่มฐานลูกค้าผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตได้เลย โดยจำนวนลูกค้าทั้งกลุ่มผู้ใช้งานในที่พักอาศัยและในภาคธุรกิจรวมกันนั้นหยุดนิ่งอยู่ที่ 32,163,000 ราย ส่วนไตรมาสล่าสุดมีรายงานว่าสามารถหาลูกค้าใหม่เพิ่มได้เพียง 14,000 รายเท่านั้น แต่ในขณะเดียวกันบริษัทกลับมีจำนวนลูกค้าผู้ใช้บริการวิดีโอลดลง 561,000 ราย และผู้ใช้บริการโทรศัพท์ VoIP (โทรศัพท์ผ่านการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต) ลดลง 316,000 ราย
ทำให้ Comcast หันมาพิจารณาการหารายได้เฉลี่ยจากลูกค้าที่มีอยู่ (ARPU: average revenue per user) ให้ได้เพิ่มมากขึ้น แน่นอนว่านั่นต้องอาศัยการเพิ่มค่าบริการ ซึ่งเรื่องนี้ Michael Cavanagh ประธานบริหารผู้ควบตำแหน่ง CFO ของ Comcast เป็นผู้แถลงยืนยันด้วยตนเอง
Brian Roberts ผู้ดำรงตำแหน่ง CEO ของ Comcast ระบุว่าบริษัทให้ความสำคัญกับการเติบโตของตัวเลข 4 อย่างสำหรับธุรกิจอินเทอร์เน็ต ประกอบไปด้วย จำนวนลูกค้ากลุ่มที่พักอาศัย, รายได้เฉลี่ยต่อลูกค้ากลุ่มที่พักอาศัย, การให้บริการอินเทอร์เน็ตไร้สาย และการให้บริการลูกค้าภาคธุรกิจ
อย่างไรก็ตาม Comcast ไม่ได้ระบุชัดเจนว่าการขึ้นค่าบริการนั้นมีรายละเอียดอย่างไรบ้าง หากมองในภาพรวมธุรกิจอินเทอร์เน็ตทั้งหมดของ Comcast อาจใช้วิธีการเสนอขายแพคเกจอินเทอร์เน็ตมือถือ หรือเสนอขายแพคเกจบริการเสริมต่างๆ ทว่าเนื่องจาก CEO ได้ระบุอย่างชัดเจนว่าบริษัทให้ความสำคัญต่อ "รายได้เฉลี่ยต่อลูกค้ากลุ่มที่พักอาศัย" ด้วย จึงน่าเชื่อว่าจะมีการเพิ่มค่าบริการรายเดือนสำหรับอินเทอร์เน็ตตามบ้านซึ่งคิดค่าบริการแบบเหมาจ่ายอยู่ก่อนแล้ว
ทั้งนี้จากการสืบค้นพบว่าแพคเกจอินเทอร์เน็ตราคาถูกสุดของ Comcast ในปีนี้อยู่ที่เดือนละ 19.99 ดอลลาร์ โดยได้อินเทอร์เน็ตความเร็ว 75 Mbps โดยจำกัดปริมาณข้อมูลต่อเดือนไม่เกิน 1.2 TB (ถ้าอยากปลดล็อกหรือต้องการความเร็วเพิ่มก็มีแพคเกจอื่นๆ ให้จ่ายเงินซื้อเพิ่ม)
อันที่จริง Comcast มีโอกาสหาลูกค้าเพิ่มได้หากตัดสินใจขยายพื้นที่ให้บริการอินเทอร์เน็ต เพราะในปัจจุบันนี้มีผู้คนอีกหลายหลังคาเรือนที่เห็นเพื่อนบ้านใกล้เคียงสามารถใช้อินเทอร์เน็ตของ Comcast ได้แต่บ้านตัวเองที่ห่างออกไปไม่ไกลกลับอยู่นอกพื้นที่บริการ ทว่าทางบริษัทก็ยังคงเลือกที่จะไม่ขยายพื้นที่ออกไปแต่อย่างใด ซึ่งทาง Ars Technica ได้เคยรายงานเหตุการณ์ตัวอย่างที่แสดงถึงความไม่กระตือรือร้นที่จะขยายพื้นที่ให้บริการของ Comcast ไว้หลายกรณี อาทิ
ปี 2015 วิศวกรซอฟต์แวร์รายหนึ่งซื้อบ้านใน Washington และก่อนซื้อก็ได้พูดคุยกับช่างของ Comcast หลายคนที่ยืนยันตรงกันว่าบ้านใหม่ของเขานั้นพร้อมติดตั้งใช้งานอินเทอร์เน็ตได้ทันที ซึ่งถือเป็นเรื่องจำเป็นต่อการทำงานที่บ้านของเขา แต่เอาเข้าจริงเขากลับเจอใบเสนอราคาจาก Comcast ที่คิดค่าติดตั้งอินเทอร์เน็ต 60,000 ดอลลาร์ ทำให้เขาต้องตัดสินใจขายบ้านในเวลาไม่กี่เดือนให้หลัง
ปี 2016 สตาร์ทอัพรายหนึ่งย้ายเข้าสำนักงานใหม่ใน Silicon Valley และได้ทำสัญญาใช้บริการอินเทอร์เน็ต Comcast โดยวางมัดจำเป็นเงิน 2,100 ดอลลาร์ แต่ผ่านไปหลายเดือนอินเทอร์เน็ตก็ยังใช้งานไม่ได้จนสัญญาเช่าอาคารกำลังจะครบกำหนด 1 ปี สตาร์ทอัพรายนี้เลยตั้งใจจะย้ายไปเช่าสำนักงานแห่งใหม่และขอยกเลิกบริการ (ที่ไม่เคยได้ใช้จาก Comcast) พร้อมขอเงินมัดจำคืน แต่ Comcast ระบุว่าพวกเขาต้องจ่ายค่ายกเลิกสัญญา 60,000 ดอลลาร์
ปี 2019 คู่สามีภรรยาที่เพิ่งซื้อบ้านใน Seattle พบว่าเพื่อนบ้าน 6 หลังที่มีแนวแปลงที่ดินติดกันล้วนมีอินเทอร์เน็ต Comcast ใช้บริการได้หมด แต่พอตัวเองติดต่อบริษัทเพื่อจะติดอินเทอร์เน็ตกลับได้รับใบเสนอราคาค่าติดตั้ง 27,000 ดอลลาร์ โดย Comcast บอกว่าค่าติดตั้งแพงเพราะต้องฝังสายอินเทอร์เน็ตใต้ดินเป็นระยะทาง 55 เมตร
ปี 2019 ชายคนหนึ่งย้ายเข้าบ้านใน Silicon Valley โดยโทรสอบถาม Comcast และได้รับการยืนยันว่าบ้านอยู่ในพื้นที่ให้บริการอินเทอร์เน็ต แต่พอย้ายจริงกลับได้รับใบเสนอราคาค่าติดตั้งอินเทอร์เน็ต 210,000 ดอลลาร์ โดยระบุว่าเป็นค่าฝังสายอินเทอร์เน็ตระยะทาง 700 ฟุต (คิดค่าติดตั้งฟุตละ 300 ดอลลาร์) และแม้ในเวลาต่อมาเจ้าตัวตรวจสอบแล้วพบว่าบ้านตัวเองอยู่ห่างจากเสาไฟที่มีสายอินเทอร์เน็ตของ Comcast แค่ 50 เมตร แต่ Comcast ยืนยันว่าเดินสายผ่านอากาศจากเสาต้นดังกล่าวไม่ได้เพราะกฎท้องถิ่นบังคับให้ต้องฝังสายมาจากจุดอื่น ทำให้ในที่สุดเจ้าตัวตัดสินใจร่วมกับคนอื่นๆ ในท้องที่ตั้งสหกรณ์ให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงกันเอง
ปี 2020 คู่รักคู่หนึ่งวางแผนย้ายบ้านไปรัฐ Virginia และได้ตรวจสอบข้อมูลพื้นที่ให้บริการอินเทอร์เน็ตของ Comcast โดยกรอกที่อยู่บ้านใหม่ลงในเว็บไซต์ของ Comcast ซึ่งได้ข้อมูลว่าอยู่ในพื้นที่บริการ แต่พอเอาเข้าจริงเมื่อย้ายบ้านกลับพบว่าไม่เป็นอย่างนั้น ทั้งที่บ้านซึ่งอยู่หัวและท้ายถนนเส้นเดียวกันมีอินเทอร์เน็ต Comcast หมด แต่บ้านของคู่รักคู่นี้กลับถูกระบุว่าอยู่นอกพื้นที่บริการและจะต้องจ่ายเงิน 5,000 ดอลลาร์เพื่อติดตั้งอินเทอร์เน็ต ซึ่งหลังจากจ่ายเงินไปแล้ว 6 เดือนให้หลังก็ยังติดตั้งไม่แล้วเสร็จ
ปี 2021 ครอบครัวหนึ่งย้ายบ้านไปอยู่ในรัฐ Washington และแม้จะตรวจสอบจากแผนที่ในเว็บไซต์ของ Comcast จนแน่ใจแล้วว่าบ้านใหม่ของตนเองอยู่ในพื้นที่ให้บริการอินเทอร์เน็ต แต่พอตอนย้ายจริง Comcast กลับบอกว่าข้อมูลในเว็บไซต์ผิดพลาด และเรียกค่าบริการต่อขยายสายอินเทอร์เน็ต 19,000 ดอลลาร์ จนสุดท้ายครอบครัวนี้ต้องเลือกจ้างผู้รับเหมามาติดตั้งงานเองบางส่วนและจ่ายเงินจ้าง Comcast ดำเนินการส่วนที่เหลือเพื่อลดค่าใช้จ่ายโดยรวมให้เหลือ 10,000 ดอลลาร์
เรียกได้ว่าแนวทางการทำธุรกิจของผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตเบอร์ 1 ของสหรัฐฯ นั้นมีอะไรน่าสนใจไม่น้อย
รถให้บริการติดตั้งอินเทอร์เน็ตของ Comcast (ที่มาภาพ: Mike Mozart, CC BY 2.0)
ที่มา - Ars Technica - 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7 |
# ประกาศหางาน Sony เผย Naughty Dog กำลังทำโปรเจคใหม่ของแฟรนไชส์เดิม
มีคนตาดีไปเจอประกาศหางานของ Sony ว่ากำลังตั้งสตูดิโอในเครือ PlayStation แห่งใหม่ที่เมืองซานดิเอโก ในรัฐแคลิฟอร์เนีย และกำลังร่วมพัฒนาโปรเจคใหม่กับสตูดิโอ Naughty Dog โดยเป็นแฟรนไชส์เกมที่คนรัก (beloved franchise)
หลังจากนั้นมีคนไปขุดพบว่าสตูดิโอแห่งนี้ชื่อว่า Visual Arts ซึ่งช่วยสนับสนุน Naughty Dog ทำเกม The Last of Us: Part 1 ภาครีเมคมาก่อนด้วย
จากข้อมูลเหล่านี้ทำให้สื่อเกมหลายๆ สำนักชี้ตรงกันว่าน่าจะเป็น Uncharted ภาคใหม่ (หรือรีเมคอีกแล้ว?)
ที่มา - Eurogamer, VGC |
# กรรมการข้อมูลส่วนบุคคลอังกฤษเตือน การวิเคราะห์อารมณ์ความรู้สึกมีความเสี่ยงสูง ต้องใช้อย่างระวัง
สำนักงานกรรมการข้อมูลส่วนบุคคลสหราชอาณาจักร (Information Commissioner’s Office - ICO) ออกแถลงเตือนถึงการใช้ปัญญาประดิษฐ์วิเคราะห์อารมณ์ว่ามีความเสี่ยงสูงยิ่งกว่าการเก็บข้อมูลชีวมาตร (biometric) เสียอีก และหน่วยงานใดที่ต้องการใช้ข้อมูลเหล่านี้ต้องระวัดระวังอย่างมากก่อนเริ่มใช้งาน ไม่เช่นนั้นจะถูก ICO สอบสวน
ข้อมูลอารมณ์ตามนิยามของ ICO กินความหมายกว้าง นับแต่การวิเคราะห์ความรู้สึก (setiment analysis), การตีความใบหน้า, อัตราการเต้นหัวใจ, เหงื่อตามผิวหนัง, หรือการจับจ้อง ปัญหาของกระบวนการเหล่านี้ในมุมมองของ ICO คือกระบวนการพัฒนายังไม่สมบูรณ์และเสี่ยงต่อการเหยียดคนบางกลุ่มเป็นพิเศษ
นอกจากการเตือนถึงการใช้งานข้อมูลอารมณ์แล้ว ICO ยังประกาศว่าจะออกแนวทางการเก็บข้อมูลชีวมาตร เช่น ลายนิ้วมือ, ลักษณะเสียง, หรือข้อมูลใบหน้า ว่ามีแนวทางการใช้งานที่ดีและมีความปลอดภัยต่อผู้ใช้ได้อย่างไรบ้าง เพราะข้อมูลเหล่านี้หากหลุดไปแล้วไม่สามารถเปลี่ยนได้อีกตลอดชีวิต โดยรายงานน่าจะออกมากลางปี 2023
ที่มา - ICO
ภาพโดย AbsolutVision |
# ลาก่อนเครื่องยนต์สันดาป EU ออกกฎห้ามผลิตรถใช้น้ำมันเพื่อการโดยสารตั้งแต่ปี 2035
EU เห็นชอบร่างกฎใหม่ที่จะแบนการผลิตรถยนต์โดยสารที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน (หรือแปลง่ายๆ ก็คือรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน) ตั้งแต่ปี 2035 และเพื่อให้ถึงเป้าหมายนั้นได้มีการตั้งเป้าว่าภายในปี 2030 รถยนต์โดยสารจะต้องลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงให้ได้ 50%
EU ถือเป็นหนึ่งในหน่วยงานกำกับดูแลที่จริงจังเข้มงวดกับมาตรฐานอุตสาหกรรมยานยนต์ว่าด้วยเรื่องการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากหากเทียบกับภูมิภาคอื่นในโลกขณะนี้ ปัจจุบัน EU บังคับให้ผู้ผลิตรถยนต์ที่ขายในยุโรปจะต้องผลิตรถที่ปล่อยก๊าซเฉลี่ยไม่เกิน 95 กรัมต่อระยะทางวิ่ง 1 กิโลเมตร
หากผู้ผลิตรถยนต์ไม่สามารถทำได้ตามตัวเลขข้างต้นนี้ EU จะสั่งปรับเงินจากผู้ผลิต 95 ยูโรต่อก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 1 กรัมที่สูงกว่าเกณฑ์ต่อรถ 1 คัน ยกตัวอย่างง่ายๆ ก็คือ ถ้าผลิตรถออกมาขาย 1,000 คัน โดยแต่ละคันมีผลการทดสอบปล่อยก๊าซ 96 กรัม ต่อระยะทางวิ่ง 1 กิโลเมตร (เกินมาตรฐานไป 1 กรัม) ก็ต้องเสียค่าปรับ 1,000*1*95 = 95,000 ยูโร ซึ่งเกณฑ์นี้ถูกบังคับใช้มาตั้งแต่ปี 2020
ทั้งนี้จากการเก็บข้อมูล ปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์โดยเฉลี่ยของรถยนต์โดยสารในยุโรปปี 2019 อยู่ที่ 122.3 กรัมต่อระยะทางวิ่ง 1 กิโลเมตร และลดลงมาเหลือ 107.5 กรัม ในปี 2020 (สามารถดูค่าเฉลี่ยการปล่อยก๊าซของรถยนต์โดยสารในยุโรปย้อนหลังตั้งแต่ปี 2000 เปรียบเทียบกับเกณฑ์ของ EU ที่ปรับเข้มงวดขึ้นตามช่วงเวลาได้จากแผนภูมิด้านล่างนี้)
ที่มาข้อมูลจาก Europian Environment Agency
ทั้งนี้ตัวเลขเกณฑ์การปล่อยก๊าซของรถยนต์โดยสารตามกฎของ EU จะเข้มงวดมากขึ้นโดยตัวเลขดังกล่าวจะถูกปรับเหลือ 80.8 กรัม ในปี 2025 และผู้ผลิตรถยนต์จะถูกบังคับให้ลดการปล่อยก๊าซไม่เกิน 59.4 กรัม ในปี 2030 ก่อนจะมีการแบนการผลิตรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในอย่างสมบูรณ์ในปี 2035
หากสงสัยว่าค่าเฉลี่ยการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของรถในยุโรปและมาตรฐานที่ถูกตั้งไว้นั้นมากหรือน้อยเพียงใด ก็อาจพิจารณาเปรียบเทียบกับข้อมูลจากฝั่งสหรัฐอเมริกาที่รวบรวมจัดทำโดย EPA (หน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมของสหรัฐอเมริกา) ซึ่งระบุว่าค่าเฉลี่ยของรถยนต์ในปี 2018 นั้นปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 404 กรัมต่อระยะทางวิ่ง 1 ไมล์ หรือเทียบเท่ากับ 252.5 กรัมต่อระยะทางวิ่ง 1 กิโลเมตร
อย่างไรก็ตามกฎใหม่นี้มุ่งเน้นไปที่ "รถยนต์โดยสาร" (passenger cars and vans) ซึ่งนั่นย่อมไม่รวมถึงรถยนต์ใช้งานเพื่อการบรรทุกขนส่งหรือรถเพื่อใช้งานพิเศษอย่างอื่น (ตัวอย่างเช่น รถเครน, รถดับเพลิง ฯลฯ) จึงน่าสนใจว่านโยบายที่เกี่ยวข้องกับรถบรรทุกและรถใช้งานเพื่อการอื่นนอกเหนือจากการโดยสารนี้จะมีทิศทางอย่างไร หรือจะมีการบังคับใช้กฎแบนระบบเครื่องยนต์สันดาปภายในตามหลังกลุ่มรถยนต์โดยสารหรือไม่
เครื่องยนต์สันดาปภายใน (ที่มาภาพ: Marco Verch Professional Photographer, CC BY 2.0)
ที่มา - Ars Technica |
# ระบบแจ้งเตือนแผ่นดินไหวของ Android ส่งข้อความให้หลายคนรู้ได้ก่อนการสั่นหลายวินาที
เมื่อช่วงเช้าวันอังคารที่ 25 ตุลาคมที่ผ่านมา มีผู้คนมากกว่า 1 ล้านคนในย่าน Bay Area ของ San Francisco ได้รับข้อความแจ้งเตือนถึงเหตุแผ่นดินไหวขนาด 4.8 ผ่านทางสมาร์ทโฟน Android ของตนเอง ซึ่งระบุว่า "คุณอาจรับรู้ได้ถึงแรงสั่นสะเทือน" และในจำนวนนั้นมีหลายคนที่ได้เห็นข้อความก่อนที่จะรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นจริง
ระบบการแจ้งเตือนแผ่นดินไหวนี้เป็นการทำงานร่วมกันของ Google และ United States Geological Survey (USGS) หน่วยงานด้านการสำรวจและเฝ้าระวังด้านภูมิศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา โดยอาศัยข้อมูลจากระบบ ShakeAlert ของ USGS ซึ่งใช้เซ็นเซอร์ตรวจจับแรงสั่นสะเทือนแล้วประมวลผลก่อนส่งข้อมูลให้ Google กระจายข้อความแจ้งเตือนไปยังประชาชนผ่านอุปกรณ์ Android
ในปัจจุบันเครือข่ายเซ็นเซอร์ตรวจจับแผ่นดินไหวของ USGS นั้นมีอยู่ราว 1,300 ตัว (ในอนาคต USGS เตรียมจะเพิ่มจำนวนเซ็นเซอร์ตรวจจับแผ่นดินไหวเป็น 1,675 ตัวภายในปี 2025) ติดตั้งกระจายหลายที่โดยเน้นไปที่ชายฝั่งด้านตะวันตกของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดแผ่นดินไหวมากกว่าพื้นที่อื่นๆ เซ็นเซอร์เหล่านี้ไม่สามารถทำนายได้ว่าจะเกิดแผ่นดินไหวเมื่อไหร่หรือที่ไหน แต่มันมีการตรวจจับที่ดีพอจนสามารถรับรู้การสั่นไหวได้ก่อนความรู้สึกของมนุษย์
การเกิดแผ่นไหวนั้นจะมีคลื่นสั่นสะเทือนแบ่งออกได้หลักๆ เป็น 2 ประเภท เรียกว่า "P-wave" (ย่อมาจาก Primary wave หรือ Pressure wave) กับ "S-wave" (ย่อมาจาก Secondary wave หรือ Shear wave) โดย P-wave นั้นเป็นคลื่นตามยาว (longitudinal wave) ที่มีการสั่นในแนวเดียวกับการเคลื่อนที่ของคลื่น เป็นคลื่นที่มีลักษณะของการอัดตัวและคลายตัวของตัวนำคลื่น (ในที่นี่ก็คือแผ่นดิน) ส่งแรงต่อๆ กัน ในขณะที่ S-wave นั้นเป็นคลื่นแนวขวาง (transverse wave) ที่ทิศทางของการสั่นนั้นตั้งฉากกับแนวการเคลื่อนที่ของคลื่น
โดยระหว่างคลื่นสั่นสะเทือน 2 ประเภทนี้ P-wave นั้นมีความเร็วในการเคลื่อนที่เร็วกว่า S-wave (จึงเป็นที่มาของชื่อที่เรียกว่า primary เพราะเป็นคลื่นที่จะถูกตรวจเจอได้ก่อน) ทว่าหลายครั้งมนุษย์เองกลับไม่ทันได้รู้สึกถึงการสั่นสะเทือนของคลื่น P-wave นี้ด้วยซ้ำ กลายเป็นว่าความรุนแรงและความเสียหายที่เกิดขึ้นจากเหตุแผ่นดินไหวส่วนใหญ่นั้นมาจากคลื่น S-wave ที่เดินทางช้ากว่า ฉะนั้นแล้วหากเราสามารถตรวจพบคลื่น P-wave และเตรียมตัวรับมือได้ทันก่อนที่คลื่น S-wave จะเดินทางมาถึงย่อมช่วยลดความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นจากเหตุแผ่นดินไหวได้
ตัวเซ็นเซอร์ระบบ ShakeAlert ของ USGS ที่ถูกฝังอยู่ใต้ดินลึกราว 3 เมตร นั้นสามารถตรวจจับคลื่น P-wave ได้ (และแน่นอนว่าตรวจวัดแรงสั่นของคลื่น S-wave ได้เช่นกัน แต่ในการสร้างระบบแจ้งเตือนเหตุที่เน้นความรวดเร็ว ย่อมสนใจไปที่คลื่น P-wave ที่จะเดินทางมาถึงเซ็นเซอร์ก่อน) เมื่อใดก็ตามที่มีเซ็นเซอร์อย่างน้อย 4 ตัวตรวจพบแรงสั่นสะเทือนได้พร้อมกัน มันจะส่งข้อมูลไปยังศูนย์ประมวลผล ซึ่งหากประมวลแล้วเข้าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ก็จะเริ่มดำเนินการแจ้งเหตุแก่ประชาชน
ในการแจ้งเหตุนั้นจะมีการส่งข้อมูลไปหลายช่องทางด้วยกัน ทั้งการแจ้งเตือนประชาชนผ่านระบบต่างๆ ของหน่วยงานรัฐและภาคเอกชน และ Google เองก็ได้เข้ามามีส่วนร่วมตรงจุดนี้
Google มีการพัฒนาระบบการแจ้งเตือน "Android Earthquake Alerts System" ที่อาศัยข้อมูลจากระบบเซ็นเซอร์ ShakeAlert ของ USGS มาแจ้งเตือนผู้ใช้งานอุปกรณ์ Android ให้รู้ถึงเหตุการณ์แผ่นดินไหวในพื้นที่ใกล้เคียง โดยที่ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องดาวน์โหลดหรือติดตั้งซอฟต์แวร์อื่นใดเพิ่มเติมเพื่อรับการแจ้งเตือน
อย่างไรก็ตามหากผู้ใช้อยู่ในตำแหน่งที่ใกล้ศูนย์กลางแผ่นดินไหวมากก็มีโอกาสที่การแจ้งเตือนนั้นจะส่งไปถึงผู้ใช้ช้ากว่าคลื่น S-wave แต่สำหรับคนที่อยู่ห่างออกไปดังเช่นในเหตุการณ์เมื่อวันอังคารที่ผ่านมานี้ หลายคนจะได้รับข้อความแจ้งเตือนก่อนที่คลื่น S-wave จะเดินทางไปถึงจุดที่ผู้ใช้งานอยู่ แม้ว่านั่นอาจจะเป็นเวลาเพียงไม่กี่วินาที แต่นั่นก็มากพอที่จะทำให้หลายคนมีโอกาสเตรียมตัวรับมือกับเหตุการณ์ได้อย่างปลอดภัย
นอกเหนือจากการอาศัยข้อมูลที่ประมวลผลจากระบบ ShakeAlert ของ USGS แล้ว Google ได้พัฒนาระบบเก็บข้อมูลจากอุปกรณ์ Android เพื่อใช้ประกอบในการตรวจจับเหตุการณ์แผ่นดินไหวด้วย โดยปกติแล้วอุปกรณ์พกพาเหล่านี้จะมีเซ็นเซอร์อัตราเร่งอยู่ในตัว หากเซิร์ฟเวอร์ของ Google ตรวจพบแรงสั่นสะเทือนได้จากอุปกรณ์หลายตัวในพื้นที่เดียวกันก็จะทำการประมวลผลเพื่อแจ้งเตือนผ่านระบบ Android Earthquake Alerts System ได้เช่นกัน ทั้งนี้ระบบจะใช้ข้อมูลการสั่นสะเทือนเฉพาะจากอุปกรณ์ที่อยู่ในสถานะล็อกเครื่องและถูกเสียบสายเอาไว้เท่านั้น (ซึ่งนั่นหมายถึงกำลังถูกเสียบสายชาร์จหรือต่อสายเพื่อใช้งานอย่างอื่นโดยวางนิ่งอยู่กับที่) เพื่อให้แน่ใจว่าการสั่นสะเทือนที่เซ็นเซอร์อัตราเร่งของอุปกรณ์ Android วัดได้นั้นมาจากเหตุแผ่นดินไหวจริงๆ ไม่ใช่การสั่นสะเทือนในระหว่างที่ผู้ใช้งานพกพาอุปกรณ์ติดตัวแล้วกำลังเคลื่อนไหวร่างกาย
Dave Burke รองประธานฝ่ายวิศวกรรมของ Google ได้ทวีตข้อความพร้อมภาพแผนที่แสดงจุดที่เกิดแผ่นดินไหวใน San Francisco เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (ดูข้อความทวีตได้ท้ายข่าว) ในภาพได้แสดงให้เห็นจุดสีเหลืองและจุดสีแดงที่เป็นตำแหน่งของอุปกรณ์ Android ที่ทำหน้าที่เป็นเซ็นเซอร์ช่วยตรวจจับการสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวโดยอาศัยเซ็นเซอร์อัตราเร่งในตัวอุปกรณ์ ทำให้ระบบสามารถแจ้งเตือนผู้ใช้ได้ถึงการเกิดเหตุก่อนที่คลื่น P-wave และ S-wave (แนวเส้นวงกลมสีเหลืองและสีแดงที่ขยายตัวออกเป็นวงใหญ่) จะเดินทางไปถึงผู้ใช้รอบนอกจำนวนมาก
Google ตั้งเป้าว่าจะพัฒนาระบบการส่งข้อมูลแจ้งเตือน Android Earthquake Alerts System ให้รวดเร็วยิ่งขึ้น ด้วยตระหนักว่าการที่ผู้ใช้ได้รู้เหตุเร็วเท่าไหร่ย่อมหมายถึงโอกาสที่จะเพิ่มความปลอดภัยให้ผู้ใช้มากขึ้นเท่านั้น
ที่มา - Ars Technica |
# mitmproxy ออกเวอร์ชั่น 9 มี Wireguard VPN มาให้ในตัว, รองรับ UDP
mitmproxy พรอกซี่สำหรับตรวจสอบข้อมูลที่เข้ารหัส เช่น HTTPS เปิดตัวเวอร์ชั่น 9 โดยเพิ่มฟีเจอร์สำคัญสองอย่างคือการดัก UDP และมี Wireguard มาในตัว
การดักฟัง UDP นั้นใช้ได้ทั้ง UDP ธรรมดา และ DTLS ที่เข้ารหัส ทำให้โดยรวมแล้วผู้ใช้จะสามารถส่องข้อมูลการเชื่อมต่อโปรโตคอลเข้ารหัสได้เหมือน TLS ปกติ
โหมด Wireguard ทำให้สามารถบังคับแอปพลิเคชั่นต่างๆ ให้เชื่อมต่อผ่าน mitmproxy ได้ง่ายขึ้นเพราะตัวโปรแกรมทำหน้าที่เป็นเซิร์ฟเวอร์ VPN (แต่ยังต้องติดตั้ง root CA ของ mitmproxy เองอยู่) ฟีเจอร์นี้ทำให้ตรวจสอบทราฟิกแอปบนโทรศัพท์มือถือได้ง่ายขึ้นเพราะเพียงสแกน QR คอนฟิกของ mitmproxy ก็จะบังคับให้แอปพลิเคชั่นเชื่อมต่อได้เลย ฟีเจอร์นี้ยังเป็นฟีเจอร์แรกที่พัฒนาด้วย Rust ของโครงการ
ที่มา - mitmproxy |
# กูเกิลยืนยัน Pixel 7 เป็นมือถือ Android 64 บิตล้วนรุ่นแรก เร็วกว่า ปลอดภัยกว่า กินแรมน้อยกว่า
กูเกิลประกาศข่าวอย่างเป็นทางการว่า Pixel 7 เป็นมือถือ Android แบบ 64 บิตล้วนรุ่นแรก ไม่รองรับแอพ 32 บิตอีกแล้ว ตามที่มีคนค้นพบก่อนหน้านี้
การเดินทางของโลก Android สู่ 64 บิตใช้เวลานานไม่น้อย กูเกิลเริ่มรองรับ 64 บิตในปี 2014, ประกาศแนวทางปี 2017, เริ่มบังคับแอพส่งขึ้น Play Store ในปี 2019 และเพิ่งเริ่มใช้ 64 บิตล้วนกับฮาร์ดแวร์ของตัวเองในปี 2022
กูเกิลให้เหตุผลที่ควรเปลี่ยนเป็น 64 บิตว่า ทำงานได้เร็วขึ้น (ซีพียูมีรีจิสเตอร์เยอะขึ้น), ปลอดภัยกว่าเดิม (พื้นที่หน่วยความจำเยอะขึ้น สุ่มตำแหน่งหน่วยความจำ ASLR ได้ตรงยากขึ้น), กินแรมน้อยลงราว 150MB (ตัดโค้ดส่วน 32 บิตออกไปจาก OS), ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ออกอัพเดตรอมเร็วขึ้น (ลดจำนวนการทดสอบความเข้ากันได้ ไม่ต้องทดสอบแบบ 32 บิตแล้ว)
กูเกิลยังให้ข้อมูลว่า Android Auto เป็น 64 บิตล้วนมาก่อนแล้ว ส่วน Android Go, Android TV, Android Wear ยังรองรับ 32 บิตต่อไป
ที่มา - Android Developers Blog |
# Dogecoin ราคาพุ่งแรง ขึ้นเป็นคริปโตมูลค่าสูงสุดอันดับ 8 ของโลก
ในช่วง 1-2 วันที่ผ่านมา ราคาเหรียญ Dogecoin (DOGE) มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูง ส่งผลให้ราคาเพิ่มมากกว่าเท่าตัวเมื่อเทียบกับสัปดาห์ที่แล้ว ราคาล่าสุดตอนนี้อยู่ที่ประมาณ 0.12 ดอลลาร์ต่อ DOGE ทำให้เป็นเงินคริปโตที่มีมูลค่ารวม (Market Cap.) สูงเป็นลำดับที่ 8 ของโลก ที่ราว 17 พันล้านดอลลาร์ อ้างอิงจาก Coinmarketcap แซง Cardano (ADA) ไปแล้ว
Dogecoin เป็นเหรียญมีมซึ่งมี Elon Musk ประกาศตัวว่าเป็นผู้สนับสนุนเหรียญนี้ ราคาที่ปรับขึ้นนี้น่าจะมาจากการเก็งกันว่า Elon Musk จะต่อยอดการใช้งาน DOGE กับ Twitter แพลตฟอร์มโซเชียลที่เขาเพิ่งซื้อกิจการไป อย่างไรก็ตามหลังดีล Twitter เกิดขึ้น Musk ก็ยังไม่เคยพูดถึงเหรียญ DOGE แต่อย่างใด
ที่มา: CoinDesk ภาพ Pixabay |
# Joe Belfiore อดีตหัวหน้าทีม Windows Phone ประกาศเตรียมเกษียณจาก Microsoft
Joe Belfiore รองประธานบริษัทฝ่ายผลิตภัณฑ์ Office ของ Microsoft ผู้ซึ่งเคยเป็นหัวหน้าทีมพัฒนา Windows Phone ประกาศเตรียมเกษียณ หลังจากทำงานกับ Microsoft มานาน 32 ปี
Belfiore และคณะจัดการภายใน Microsoft ได้ส่งอีเมลภายในบริษัทเพื่อแจ้งข่าวเรื่องนี้แก่พนักงาน และในเวลาต่อมาเขาได้ทวีตข้อความในบัญชี Twitter ของตนเองเพื่อแจ้งข่าวเรื่องนี้อีกครั้ง
เจ้าตัวยืนยันว่าการตัดสินใจในครั้งนี้เป็นความต้องการของตนเอง ไม่ได้ถูกบีบบังคับจากองค์กรแต่อย่างใด โดยหลังจากนี้เขาจะยังคงอยู่ช่วยให้คำแนะนำและถ่ายโอนงานให้คนที่มาดูแลงานต่อจนถึงช่วงกลางปี แต่ในระหว่างนั้นงานของเขาคือเป็นเพียงที่ปรึกษาเท่านั้น หลังจากนั้นเขาต้องการใช้เวลากับครอบครัวเพื่อดูแลลูกๆ ทั้ง 3 คน
Belfiore เริ่มงานกับ Microsoft เมื่อปี 1990 โดยเข้าร่วมทีมพัฒนา Windows 95 ก่อนที่ต่อมาจะได้ร่วมพัฒนา Internet Explorer, Windows XP แล้วมาทำงานกับฝ่าย Microsoft eHome ตามด้วยงานฝ่าย Entertainment & Devices ก่อนจะมาดูแลงานพัฒนา Windows Phone และก้าวขึ้นดูแลงานด้านบริหารในตอนที่บริษัทพัฒนา Windows 10
จากนี้ไปคนที่จะดูแลงานต่อจาก Belfiore ก็คือ Ales Holecek รองประธานฝ่ายผลิตภัณฑ์ Office อีกคนที่รับผิดชอบงานร่วมกันอยู่ก่อนแล้ว โดยมี Sumit Chauhan ที่รับผิดชอบงานปัญญาประดิษฐ์เพื่อสนับสนุนการทำงานของผลิตภัณฑ์ Office มาช่วย Holecek อีกคน
ที่มา - ZDNet |
# Need for Speed Unbound ปล่อยคลิปโชว์เกมเพลย์ และเผยข้อมูลระบบแต่งรถ
หลังจากเปิดตัวไปเมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา ตอนนี้ EA ก็ปล่อยคลิปตัวอย่างเกมเพลย์แรกของ Need for Speed Unbound ออกมาให้ชมกันแล้ว
ในคลิปความยาว 1 นาทีกว่า จะเห็นได้ว่ากลิ่นอายในเกมนั้นเน้นงานศิลป์แนวสตรีทอาร์ทอย่างชัดเจน เราจะเห็นฉากหนีการไล่ล่าของรถตำรวจกลางเมือง (และเห็นคนเดินถนนกระโดดหลบรถด้วย) นอกจากนี้วิดีโอยังเผยให้เห็นระบบการเดิมพันเงินกับคู่แข่งเพื่อสะสมเงินรางวัลที่ได้จากการชนะแข่งรถ เอาไว้ใช้เพื่อซื้อรถใหม่หรือปรับแต่งรถของผู้เล่นในเกมให้ดีขึ้น
หนึ่งในระบบสำคัญที่อยู่คู่มากับเกม Need for Speed หลายภาคนับตั้งแต่ภาค Underground ก็คือระบบการแต่งรถเพื่อสร้างความโดดเด่นบนท้องถนน (ภายในเกม) ซึ่ง Need for Speed Unbound ภาคใหม่ล่าสุดนี้ก็เน้นระบบการแต่งรถโดยมีฟีเจอร์ที่สำคัญดังนี้
การแต่งรถแบบสั่งทำพิเศษ ซึ่งรูปแบบการแต่งรถลักษณะนี้ผู้เล่นจะได้ชิ้นส่วนที่มีรูปทรงพิเศษทำให้ลักษณะของรถในเกมแตกต่างไปจากเดิม เรียกได้ว่าเป็นตัวเลือกการแต่งรถแบบที่มีได้เพียงคันเดียว (ในเกม) เท่านั้น
กราฟิกหุ้มรถออกแบบโดยนักออกแบบตัวจริง ด้วยเครื่องมือภายในเกม ผู้เล่นสามารถเลือกภาพกราฟิกเพื่อตกแต่งหุ้มรถของตัวเอง โดยมีตัวเลือกภาพจากนักออกแบบกราฟิก, ฟอนต์ใหม่ๆ รวมทั้งภาพสตรีทอาร์ทมากมาย
การตกแต่งกระทะล้อ ซึ่งเลือกได้ว่าจะใช้กระทะล้อที่มีภาพหรือลวดลายแบบพิเศษต่างๆ กัน
กราฟิกโชว์ตัวถังเปลือย เป็นลูกเล่นใหม่ที่ผู้เล่นสามารถเลือกที่จะถอดชิ้นส่วน (เช่นกันชนท้าย) เพื่อโชว์ตัวถังรถที่ซ่อนอยู่ภายใต้กันชนเดิมๆ ได้แบบสมจริง โดย EA บอกว่าได้ตั้งใจทำกราฟิกซ้อนอีกชั้นไว้ภายชิ้นส่วนแต่งรถเพื่อให้เป็นทางเลือกสำหรับผู้เล่นที่นิยมการถอดชิ้นส่วนเหล่านั้นออก
ลูกเล่นใหม่อีกอย่างของ Need for Speed Unbound ที่ได้เห็นจากวิดีโอตัวอย่างเกมเพลย์นั้นก็คือ "Driving Effects" ซึ่งเป็นเอฟเฟกที่โชว์ในขณะที่รถวิ่ง ถือเป็นสีสันใหม่ที่เกมนำเสนอฉีกแนวไปจากสไตล์ภาพเน้นความสมจริงของเกมหลายภาคก่อนหน้านี้ เรียกว่าการเล่นเกมภาคใหม่นี้แค่เห็นควันไกลๆ ก็รู้ได้แล้วว่ารถที่วิ่งนำอยู่ข้างหน้าคือใคร
EA จะทยอยปล่อยข้อมูลเกี่ยวกับเกมออกมาเรื่อยก่อนถึงวันวางขายเกมจริงในวันที่ 2 ธันวาคมที่จะถึงนี้ ผู้ที่สนใจสามารถเข้าไปสั่งจองเกมล่วงหน้าได้ที่นี่
ที่มา - Need for Speed Unbound |
# Toyota บอกชิปยังไม่ค่อยพอ ขอลดกุญแจรีโมทให้รถใหม่จาก 2 ดอกเหลือแค่ดอกเดียว
Toyota ขอปรับลดจำนวนกุญแจรีโมทที่จะส่งมอบให้กับลูกค้าผู้ซื้อรถใหม่ในญี่ปุ่นจากที่ปกติจะให้กุญแจรีโมท 2 ดอกต่อรถ 1 คัน เหลือเพียงแค่ดอกเดียว โดยจะให้กุญแจแบบธรรมดาเป็นกุญแจสำรองไปทดแทน ซึ่งที่มาของนโยบายใหม่นี้ก็มาจากภาวะขาดแคลนชิปอิเล็กทรอนิกส์ในอุตสาหกรรมยานยนต์
รถใหม่ที่ว่านี้มีด้วยกัน 14 รุ่น ซึ่งรวมถึง Crown, Prius และ bZ4X ที่ผลิตในช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้ นอกจากนี้รถยนต์ Lexus ที่ผลิตใหม่ในช่วงนี้ก็ต้องลดจำนวนกุญแจรีโมทเช่นกัน
อย่างไรก็ตามมาตรการลดกุญแจรีโมทนี้จะถูกนำมาใช้เป็นการชั่วคราวเฉพาะในตอนนี้เท่านั้น โดย Toyota ระบุว่าจะรีบส่งมอบกุญแจรีโมทดอกที่ 2 ไปให้ลูกค้าโดยเร็วที่สุดเมื่อสามารถทำได้
ที่มา - The Japan Times |
# Story of Seasons: A Wonderful Life ภาครีเมคเกมปลูกผักแห่งความหลัง ลงทุกแพลตฟอร์ม
Story of Seasons: A Wonderful Life (หรือในชื่อเดิมคือ Harvest Moon: A Wonderful Life) เป็นเกมที่เปิดตัวครั้งแรกในปี 2003 ลงในเครื่อง GameCube และ PlayStation 2 ซึ่งน่าจะเป็นเกมในความทรงจำของใครหลายคน ผ่านมาเกือบ 20 ปี Marvelous ผู้พัฒนาเกมได้ประกาศข่าวการรีเมคเกมภาคนี้ใหม่อีกครั้ง โดยครั้งนี้จะลงทุกแพลตฟอร์มทั้ง PlayStation 5, Xbox Series X|S, Nintendo Switch รวมทั้งบนพีซีผ่าน Steam ทั้งหมดจะขายช่วงกลางปีหน้า
เนื้อเรื่องของ A Wonderful Life ว่าด้วยเรื่องของตัวละครหลักที่ต้องเดินทางไปรับช่วงบริหารฟาร์มต่อจากพ่อ นอกเหนือจากการทำงานในฟาร์มแล้วตัวละครหลักจะเติบโตและหาคู่แต่งงานจนมีลูก จากนั้นก็เลี้ยงดูลูกจนเติบโตและมองดูลูกเลือกทางเดินชีวิตของตัวเอง
ในการรีเมคนี้ไม่เพียงแต่จะมีการปรับปรุงภาพให้สวยงามขึ้นตามเทคโนโลยีด้านกราฟิกเท่านั้น ตัวเกมยังเปิดกว้างเรื่องความหลากหลาายของผู้คน ด้วยการให้อิสระแก่ผู้เล่นในการเลือกเพศของตัวละครหลักเป็นเพศใดก็ได้ ไม่ว่าชายหรือหญิงหรือเพศอื่น และแต่งงานกับตัวละครเพศใดก็ได้ นอกจากนี้ผู้เล่นยังสามารถปรับแต่งตัวละครโดยการเลือกสีผิวและทรงผมได้หลากหลายด้วย
นอกจากนี้ Marvelous ระบุว่าเกมรีเมคใหม่ยังเพิ่มอีเวนต์ใหม่ๆ มีการปรับปรุงงานเทศกาลภายในเกม เพิ่มสูตรอาหาร รวมทั้งมีการเพิ่มพืชพันธุ์ชนิดใหม่ๆ ให้เพาะปลูกทำฟาร์มภายในเกมด้วย
ตัวเกมมีราคาชุดละ 49.99 ยูโร (และ 44.99 ปอนด์ สำหรับสหราชอาณาจักร) โดยผู้ที่สั่งจองล่วงหน้าจะได้รับของแถมพิเศษประกอบไปด้วยโปสเตอร์ขนาด A3, สมุดบันทึกขนาด A5, สติ๊กเกอร์ และกล่องสะสมลายพิเศษ
ใครที่สนใจอยากสั่งซื้อ Story of Seasons: A Wonderful Life สามารถเข้าไปสั่งจองล่วงหน้าได้ที่นี่
ที่มา - PC Gamer |
# Steam เตรียมเพิ่มฟังก์ชั่นให้ผู้ใช้ย้ายเกมข้ามเครื่องผ่านสาย LAN ได้เอง
มีคนตาดีสังเกตเห็นโค้ดในไฟล์โปรแกรม Steam เวอร์ชั่นเบต้าตัวล่าสุดว่ามีการเพิ่มฟังก์ชั่นเกี่ยวกับ "Peer Content" ซึ่งในเวลาต่อมาก็มีโปรแกรมเมอร์รายอื่นอีกหลายคนมาร่วมออกความเห็นไปในทางเดียวกันโดยสรุปว่า Steam กำลังจะเพิ่มฟังก์ชั่นให้ผู้ใช้สามารถถ่ายโอนข้อมูลผ่านการเชื่อมต่อ peer-to-peer ได้
การถ่ายโอนข้อมูลที่ว่านี้ไม่ใช่การอัพโหลดหรือดาวน์โหลดระหว่างผู้ใช้งาน Steam แต่ละคนเกมผ่านการเชื่อต่ออินเทอร์เน็ต หากแต่เป็นการถ่ายโอนข้อมูลที่เชื่อมต่อกันด้วยสาย LAN ซึ่งอาจเป็นการย้ายเกมหรือข้อมูลจากพีซีเครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่ง หรือถ่ายโอนข้อมูลข้ามไปมากับเครื่อง Steam Deck ก็ได้
ด้วยฟังก์ชั่นใหม่นี้จะช่วยให้ผู้เล่นประหยัดการใช้แบนด์วิธอินเทอร์เน็ตของตนเองลงได้ และในเวลาเดียวกันการที่ผู้ใช้ซึ่งมีพีซีหลายเครื่อง หรือมี Steam Deck ไม่จำเป็นต้องดาวน์โหลดข้อมูลตรงจาก Steam ทุกครั้ง (เพราะสามารถดาวน์โหลดแค่ครั้งเดียวแล้วทำสำเนาไฟล์เพื่อย้ายข้อมูลได้เองผ่านสาย LAN ก็แปลว่านั่นจะช่วยลดภาระการทำงานของเครื่องเซิร์ฟเวอร์ของ Steam ด้วย
ที่มา - PC Gamer |
# พี่ใหญ่มาเอง! Honda เปิดตัวสถานีเปลี่ยนแบตจักรยานยนต์ไฟฟ้า ประเดิมที่แรกกลาง Tokyo
Honda เปิดตัว Power Pack Exchanger e: สถานีเปลี่ยนแบตเตอรี่สำหรับจักรยานยนต์ไฟฟ้า พร้อมให้บริการแก่ผู้ใช้ใน Tokyo แล้ว
Power Pack Exchanger e: มีลักษณะเป็นตู้ชาร์จแบตเตอรี่พร้อมหน่วยควบคุมและหน้าจอสำหรับรับการสั่งงานจากผู้ใช้และแสดงผล ตัวตู้สามารถชาร์จแบตเตอรี่ของ Honda รุ่น Mobile Power Pack e: (MPP e:) ได้พร้อมกันคราวละ 12 ลูก โดยใช้งานได้กับระบบไฟทั้งความถี่ 50 Hz และ 60 Hz กินกำลังไฟสูงสุด 6.5 กิโลวัตต์ และมีระบบระบายความร้อนเพื่อเพิ่มอายุการใช้งานของแบตเตอรี่
ขนาดของสถานีเปลี่ยนแบตเตอรี่มีความกว้าง 96.0 เซนติเมตร ลึก 75.8 เซนติเมตร และสูง 182.0 เซนติเมตร มีน้ำหนักราว 360 กิโลกรัม ซึ่ง Honda ตั้งใจออกแบบมาให้มีขนาดใกล้เคียงกับตู้ขายสินค้าอัตโนมัติเพื่อให้สามารถนำไปติดตั้งใช้งานได้สะดวกในหลายพื้นที่
ในการใช้งานนั้นผู้ใช้เพียงถอดเอาแบตเตอรี่จากจักรยานยนต์ไฟฟ้าของตนเองที่ไฟกำลังจะหมดเอามาใส่เข้าช่องชาร์จไฟที่ว่างอยู่ ตู้ก็จะทำการชาร์จไฟให้โดยอัตโนมัติ ส่วนการนำเอาแบตเตอรี่ลูกใหม่ออกจากตู้นั้นผู้ใช้จะต้องยืนยันตัวตนที่ตู้ก่อน จากนั้น ตู้ Power Pack Exchanger e: จะดีดแบตเตอรี่ลูกที่ได้รับการชาร์จไฟจนเต็มแล้วออกมาให้ ขั้นตอนหลังจากนั้นผู้ใช้ก็สามารถดึงเอาแบตเตอรี่ที่พร้อมใช้ออกจากตู้แล้วนำไปใส่ในพาหนะของตนเองเพื่อใช้งานได้เลย
สถานีเปลี่ยนแบตเตอรี่ Power Pack Exchanger e: ที่ Honda เพิ่งเปิดตัวใหม่
ตู้ชาร์จแบตเตอรี่ของ Honda มีฟีเจอร์ไฟแสดงตำแหน่งแบตเตอรี่ที่ไฟเต็มให้ผู้ใช้สังเกตเห็นได้ง่ายทั้งจากมุมมองด้านหน้าตู้และจากด้านข้าง ส่วนระบบการยืนยันตัวผู้ใช้นั้นก็สามารถทำได้โดยง่ายเพียงนำเอา IC card มาแนบตรงหน้าจอ โดย IC card ที่ว่านี้เป็นบัตรสมาร์ทการ์ดที่ Honda จะมอบให้แก่ลูกค้าผู้ลงทะเบียนเป็นสมาชิกบริการเช่าใช้แบตเตอรี่
ทั้งนี้ข้อมูลใน IC card จะระบุข้อมูลจำเพาะของผู้ใช้ว่ายานพาหนะของผู้ที่ลงทะเบียนไว้นั้นใช้งานแบตเตอรี่กี่ลูกและเป็นการต่อวงจรไฟฟ้าแบบขนานหรืออนุกรม ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะถูกนำไปประมวลเพื่อให้ตู้ Power Pack Exchanger e: สามารถเลือกแบตเตอรี่ที่ผ่านการชาร์จไฟแล้วได้อย่างเหมาะสมสำหรับผู้ใช้แต่ละราย
สถานีเปลี่ยนแบตเตอรี่มีไฟ LED ช่วยให้สังเกตเห็นแบตเตอรี่ที่ชาร์จไฟเต็มแล้วได้ง่ายและมองเห็นจากด้านข้าง และมีระบบยืนยันตัวตนด้วย IC card
สถานีเปลี่ยนแบตเตอรี่ Power Pack Exchanger e: นั้นมีตู้ชาร์จรุ่นที่เป็นส่วนต่อขยายด้วย โดยตู้แบบนี้จะไม่มีหน่วยประมวลผลและหน้าจอ มีแค่เพียงช่องชาร์จแบตเตอรี่จำนวน 12 ช่อง ผู้ที่ซื้อตู้สถานีเปลี่ยนแบตเตอรี่ของ Honda ไปติดตั้งสามารถใช้ตู้หลัก 1 ตู้ประกอบต่อกับตู้ส่วนต่อขยายเพิ่มเติมหลายตู้ได้ ทำให้สามารถเพิ่มจำนวนช่องชาร์จไฟแบตเตอรี่ของสถานีแห่งนั้นให้มากขึ้นได้หากสถานที่ดังกล่าวเป็นจุดที่มีผู้ใช้งานมาใช้บริการเป็นจำนวนมาก
Power Pack Exchanger e: สถานีเปลี่ยนแบตเตอรี่แบบมีส่วนต่อขยายด้านข้าง
Honda จะบริหารจัดการสถานีเปลี่ยนแบตเตอรี่แต่ละแห่งในเครือข่ายผ่านการประมวลผลข้อมูลบนคลาวด์ของ Honda เองเพื่อติดตามสถานะการทำงานของสถานีเปลี่ยนแบตเตอรี่แต่ละจุด ไม่ว่าจะเป็นจำนวนแบตเตอรี่ที่เหลืออยู่ ณ สถานี และสถานะการทำงานของระบบชาร์จไฟ
ทั้งนี้ Honda ระบุว่าการทำงานของสถานีเปลี่ยนแบตเตอรี่ของตนเองนั้นสามารถให้บริการได้แม้ในตอนที่ไฟดับ ตู้ Power Pack Exchanger e: จะเลือกดึงเอาพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่บางส่วนที่คาอยู่ในตู้มาชาร์จไฟแบตเตอรี่อีกส่วนจนไฟเด็มเพื่อให้พร้อมสำหรับการใช้งาน
ผู้ใช้ที่สมัครบริการเช่าใช้แบตเตอรี่ MPP e: สามารถค้นหาตำแหน่งของสถานี, ตรวจสอบสถานะของแบตเตอรี่ที่อยู่ในตู้ชาร์จของแต่ละสถานี รวมทั้งจองคิวเปลี่ยนแบตเตอรี่และชำระเงินค่าบริการได้ผ่านทางสมาร์ทโฟน
สำหรับแบตเตอรี่ MPP e: ของ Honda นั้น เป็นแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนที่ออกแบบมาให้หิ้วพกพาได้และถอดเปลี่ยนได้ง่าย แบตเตอรี่และลูกมีขนาดกว้าง 177.3 มิลลิเมตร ลึก 156.3 มิลลิเมตร และสูง 298 มิลลิเมตร และมีน้ำหนัก 10.3 กิโลกรัม สามารถเก็บประจุไฟฟ้าได้ 1,314 วัตต์-ชั่วโมง และจ่ายไฟด้วยแรงดัน 50.26 โวลต์ โดยให้กำลังงานไฟฟ้าสูงสุดขณะใช้งาน 2.5 กิโลวัตต์ ทั้งนี้แบตเตอรี่ MPP e: ใช้เวลาในการชาร์จไฟจนเต็มราว 5 ชั่วโมงต่อครั้ง
สำหรับราคาขายของแบตเตอรี่ MPP e: นั้น Honda ตั้งเอาไว้ที่ 88,000 เยนต่อลูก
แบตเตอรี่ MPP e: ที่ Honda พัฒนาขึ้น
ทั้งนี้ในปัจจุบัน Honda ได้ผลิตรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าไฟฟ้าออกมา 3 รุ่นที่ใช้งานแบตเตอรี่ MPP e: ได้แก่
BENLY e: จักรยานยนต์ไฟฟ้าแบบ 2 ล้อ
GYRO e: จักรยานยนต์ไฟฟ้าแบบ 3 ล้อ
GYRO CANOPY e: จักรยานยนต์ไฟฟ้าแบบ 3 ล้อ ที่มาพร้อมหลังคาและกระจกบังลมด้านหน้า
รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าทั้ง 3 รุ่นของ Honda ที่ใช้งานแบตเตอรี่ MPP e:
Honda ได้ส่งมอบตู้ชาร์จแบตเตอรี่เพื่อใช้งานเป็นสถานีเปลี่ยนแบตเตอรี่ชุดแรกใน Tokyo ให้แก่บริษัท Gachaco ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง Honda และ Eneos ดำเนินธุรกิจให้เช่าแบตเตอรี่และบริหารจัดการสถานีเปลี่ยนแบตเตอรี่ในญี่ปุ่น Gachaco ให้บริการแบตเตอรี่สำหรับรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าจากผู้ผลิต 4 รายของญี่ปุ่นอันได้แก่ Honda, Kawasaki, Suzuki และ Yamaha ซึ่งผู้ผลิตทั้ง 4 รายได้ทำข้อตกลงร่วมกันที่จะใช้แบตเตอรี่ที่ออกแบบด้วยมาตรฐานเดียวกัน เพื่อให้สามารถเปลี่ยนใช้งานร่วมกันได้
ทั้งนี้ Honda ได้ผลิตและส่งมอบสถานีเปลี่ยนแบตเตอรี่ไปเพื่อติดตั้งให้บริการในประเทศอินเดียก่อนหน้านี้แล้วตั้งแต่ช่วงต้นปี 2022 โดยเน้นให้บริการแก่รถตุ๊กตุ๊กไฟฟ้า
โดยสรุปแล้วการเปิดตัวในครั้งนี้ของ Honda เรียกว่าแทบจะเป็นสินค้าและบริการแบบเดียวกันกับ Gogoro ผู้ให้บริการเช่าแบตเตอรี่และบริหารจัดการสถานีเปลี่ยนแบตเตอรี่จากไต้หวันซึ่งในปัจจุบัน Gogoro ได้รุกทำตลาดนำหน้า Honda ไปแล้วในหลายประเทศ ทั้งจีน, อิสราเอล และอินโดนีเซีย (และเตรียมจะให้บริการเพิ่มที่สิงคโปร์อีกประเทศเร็วๆ นี้) โดย Gogoro เพิ่งเข้าตลาดหุ้น Nasdaq ไปเมื่อตอนต้นปี
ที่มา - The Verge, Honda - 1, 2, 3 |
# Andy Rubin กลับมาเปิดบริษัทใหม่อีกรอบชื่อ Simple Things ทำอุปกรณ์ IoT ในบ้าน
เว็บไซต์ข่าว Semafor รายงานว่า Andy Rubin บิดาแห่ง Android กลับมาเปิดบริษัทใหม่ (อีกแล้ว) รอบนี้เป็นบริษัทฮาร์ดแวร์ชื่อ Simple Things ทำเรื่อง IoT เป็นสินค้าเกี่ยวกับความปลอดภัยทั้งในแง่ safety และ security ของบ้าน
ตอนนี้ Rubin ยังไม่ได้เปิดตัวบริษัท Simple Things อย่างเป็นทางการ ข้อมูลเท่าที่มีคือเขาได้บริษัทลงทุนชื่อดัง Andreessen Horowitz โดยมีผู้ร่วมก่อตั้งคือ Marc Andreessen มานั่งเป็นบอร์ดของบริษัทด้วย
Andy Rubin ลาออกจากกูเกิลในปี 2014 หลังจากนั้นเขาไปเปิดบริษัทหลายแห่ง เช่น Playground Global บ่มเพาะสตาร์ตอัพสายฮาร์ดแวร์ และ Essential ทำสมาร์ทโฟน แต่สุดท้ายก็ไปไม่รอด Essential ปิดตัวไปเมื่อปี 2020
เรื่องราวของ Andy Rubin ยังมีข่าวฉาวสมัยเขาอยู่กูเกิลว่าเขาคบกับลูกน้อง และมีประเด็นคุกคามทางเพศ จนเป็นเหตุให้พนักงานกูเกิลทั่วโลกประท้วงที่บริษัทปกป้อง Rubin รวมถึงจ่ายเงินชดเชยให้มหาศาล
Andy Rubin ขณะอยู่กับ Essential
ที่มา - Semafor |
# Amazon เร่งขยายกำลังการผลิตดาวเทียมอินเทอร์เน็ต Project Kuiper ให้ได้ 4 ดวงต่อวัน
แม้จะมีข่าวการพัฒนา Project Kuiper โครงการดาวเทียมให้บริการอินเทอร์เน็ตของ Amazon มานานกว่า 3 ปีแล้ว แต่เรียกได้ว่าโครงการนี้ยังตามหลังคู่แข่งอย่าง Starlink อยู่หลายช่วงตัว อย่างไรก็ตาม Amazon ก็ยังไม่ได้ลดละความพยายามกับโครงการนี้และล่าสุดได้วางแผนเพิ่มกำลังการผลิตดาวเทียมโดยตั้งเป้าจะผลิตให้ได้เร็วถึง 4 ดวงต่อวัน
เป้าหมายของ Project Kuiper นั้นจะต้องยิงดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจรให้ได้ 3,236 ดวง จึงจะสามารถให้บริการอินเทอร์เน็ตได้ตามแผน และเพื่อการนั้น Amazon จึงขยายกำลังการผลิตดาวเทียมโดยจะเพิ่มฐานการผลิตใหม่ในอาคารขนาด 16,000 ตารางเมตร ในเมือง Kirkland รัฐ Washington
Amazon ได้พัฒนาดาวเทียมสำหรับ Project Kuiper ขึ้นมาเอง โดยมีกำหนดการที่จะส่งดาวเทียมต้นแบบชุดแรกจำนวน 2 ดวงขึ้นสู่อวกาศในช่วงต้นปี 2023 และวางแผนจะส่งดาวเทียมจนครบ 3,236 ดวง ไปกับจรวด 83 เที่ยว ภายในช่วงระยะเวลา 5 ปีข้างหน้า
ที่มา - ZDNet |
# ผลพวงข่าวฉาว Apple Music ถอดเพลย์ลิสต์รวมเพลงของ Kanye West ออกจากระบบแล้ว
หลังจากที่ Kanye West โพสต์เหยียดผิว จนนำมาสู่การแบนจากเครือข่ายสังคมออนไลน์อย่าง Instagram และ Twitter ตอนนี้แพลตฟอร์มฟังเพลงอย่าง Apple Music ก็เริ่มดำเนินการบางอย่างเกี่ยวกับงานเพลงของ West แล้ว
ในการใช้งาน Apple Music นั้น ผู้ใช้สามารถค้นหาเพลย์ลิสต์รวมเพลงเด่นของศิลปินรายต่างๆ ที่ Apple ได้รวบรวมจัดทำไว้ให้เรียกว่า "Essentials Playlist" ซึ่งก่อนหน้านี้ผู้ใช้ก็สามารถค้นหาเพลย์ลิสต์รวมเพลงของ Kanye West ได้ตามปกติ จนเมื่อไม่นานมานี้ Apple Music ได้ถอดเพลย์ลิสต์นี้ออกจากระบบ ทำให้เมื่อผู้ใช้คนหา Essentials Playlist ของ West ก็จะไม่เจอผลการค้นหาใดๆ
อย่างไรก็ตามตัวเพลงและอัลบั้มของ West ยังคงอยู่ในระบบ หากผู้ใช้คนหาด้วยชื่อเพลงหรือชื่ออัลบั้มก็ยังสามารถฟังเพลงของ West บน Apple Music ได้ตามปกติ
ส่วนทางด้าน Spotify ผู้ให้บริการสตรีมมิ่งเพลงอีกรายนั้นยังไม่ได้ดำเนินการอะไรกับเพลงของ West ในระบบของตนเอง โดย Daniel Ek ซีอีโอของ Spotify เพิ่งให้สัมภาษณ์เมื่อไม่นานมานี้ว่าแม้การแสดงความเห็นของ West นั้นจะแย่ก็จริง แต่มุมและทัศนคติดังกล่าวไม่ได้ถูกถ่ายทอดลงในตัวผลงานเพลง ทำให้เพลงเหล่านั้นไม่มีจุดใดที่ขัดต่อนโยบายการให้บริการของ Spotify จึงไม่มีเหตุให้สามารถถอดเพลงของ West ออกจากระบบได้
ผลจากการโพสต์ข้อความของ West ไม่เพียงทำให้เขาถูกแบนจาก Instagram และ Twitter เท่านั้น แต่แบรนด์ดังอย่าง Adidas และ Balenciaga ต่างก็ประกาศถอนตัวไม่รวมงานกับเขา ถึงขนาดที่พิพิธภัณฑ์ Madame Tussauds ใน London ยังตัดสินใจนำหุ่นขี้ผึ้งของ West ออกจากพื้นที่จัดแสดง เรียกได้ว่าตอนนี้หลายฝ่ายล้วนพากันเบือนหน้าหนีจาก West กันหมด
ที่มา - BGR, BBC |
# นักวิจัยญี่ปุ่นพัฒนาแผ่นฟิล์มพิเศษช่วยเร่งอัตราการเติบโตของพืชผักได้ 20-40%
นักวิจัยจาก Hokkaido University พัฒนาฟิล์มโปร่งแสงแบบพิเศษที่ช่วยให้พืชผักสามารถสังเคราะห์ด้วยแสงได้ดีขึ้น โดยผลการทดสอบพบว่าพืชที่ได้รับแสงผ่านฟิล์มนี้มีลำต้นโตสูงกว่าปกติราว 1.2 เท่า และมีเนื้อไม้มากกว่าปกติ 1.4 เท่า
การวิจัยนี้มีที่มาจากการศึกษาเรื่องกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช โดยปกติแล้วพืชใช้ประโยชน์จากแสงสว่างใน 2 ย่านความถี่เป็นหลัก นั่นคือ คลื่นแสงสีแดง และคลื่นแสงสีน้ำเงิน (ส่วนคลื่นแสงสีเขียวนั้นแทบไม่ถูกดูดซับและจะถูกสะท้อนกลับออกมาโดยมาก สังเกตได้จากการเรามองเห็นใบไม้เป็นสีเขียว) ส่วนคลื่น UV ที่มาด้วยกันกับแสงอาทิตย์นั้นกลับไม่ได้ก่อประโยชน์ต่อพืชสักเท่าใดนัก
สิ่งที่ทีมวิจัยต้องการทำคือการสร้างวัสดุพิเศษที่สามารถเปลี่ยนคลื่นแสงในย่านความถี่ที่พืชยังไม่ได้ใช้ประโยชน์ให้กลายเป็นคลื่นแสงที่เป็นประโยชน์ต่อพืช และสิ่งที่พวกเขาสร้างขึ้นคือฟิล์มแบบพิเศษที่เรียกว่าเป็น "วัสดุเปลี่ยนความยาวคลื่น" (WCM: wavelength-converting material) ทำขึ้นมาจากฟิล์มพลาสติกใสเคลือบด้วยธาตุ europium (Eu)
แผ่นฟิล์ม WCM ที่สร้างขึ้นโดยการเคลือบธาตุ europium บนฟิล์มพลาสติก
แผ่นฟิล์ม WCM นั้นจะดูดซับคลื่น UV ที่พืชไม่ได้ใช้ประโยชน์ ซึ่งมีความยาวคลื่นราว 310-370 nm เอาไว้ และปล่อยคลื่นแสงสีแดงในช่วงความยาวคลื่นราว 620 nm อันเป็นคลื่นที่พืชใช้ในการสังเคราะห์ด้วยแสงออกมา เท่ากับว่าเปลี่ยนพลังงานที่ปกติสูญเสียไปโดยเปล่าให้กลายเป็นพลังงานที่พืชใช้ประโยชน์ได้นั่นเอง
(a) ภาพอธิบายการใช้งานฟิล์ม WCM และโครงสร้างทางโมเลกุลของแผ่นฟิล์ม, (b) ภาพเปรียบเทียบการส่องแสงสว่างปกติและแสง UV ผ่านแผ่นฟิล์ม WCM, (c) ภาพสเปกตรัมคลื่นแสงแสดงให้เห็นความถี่คลื่น UV ที่ฟิล์ม WCM ดูดซับ และความถี่คลื่นแสงสีแดงที่แผ่นฟิล์มปล่อยออก
ทีมวิจัยได้ทำการทดสอบโดยปลูกต้นสวิสชาร์ด โดยเปรียบเทียบกันระหว่างต้นที่รับแสงแดดตามธรรมชาติกับต้นที่รับแสงที่ส่องผ่านฟิล์ม WCM โดยพบว่าในช่วงฤดูร้อนที่เวลากลางวันยาวนานนั้น ไม่พบความแตกต่างเรื่องการเจริญเติบโตระหว่างต้นสวิสชาร์ดทั้ง 2 กลุ่มมากนัก แต่ในช่วงฤดูหนาวผักที่รับแสงที่ส่องผ่านฟิล์ม WCM สามารถโตมีขนาดสูงกว่าผักที่รับแสงตามปกติ 1.2 เท่า และมีมวลเนื้อของผักมากกว่าการปลูกแบบรับแสงตามปกติ 1.4 เท่า หลังการปลูก 63 วัน
(a) ภาพถ่ายต้นสวิสชาร์ดในแปลงทดสอบ, (b) กราฟแสดงการเปรียบเทียบเรื่องความสูงของผักที่ทดสอบ โดยเห็นเส้นกราฟสีน้ำเงินซึ่งเป็นข้อมูลช่วงฤดูหนาวแสดงความแตกต่างจากการใช้ฟิล์ม WCM อย่างชัดเจน, (c) กราฟแสดงความสัมพันธ์ระหว่างส่วนสูงของต้นสวิสชาร์ดและน้ำหนักผักสด, (d) กราฟเปรียบเทียบมวลเนื้อของผักแบบใช้ฟิล์ม WCM เทียบกับผักที่ปลูกตามปกติทั้งในฤดูร้อนและฤดูหนาว
ทีมวิจัยของ Hokkaido University ยังได้ทำการทดลองใช้แผ่นฟิล์ม WCM กับต้นสนญี่ปุ่น (Japanese larch) ซึ่งเป็นพืชที่นิยมเลี้ยงเป็นบอนไซชนิดหนึ่งด้วย ผลการทดสอบพบว่าในช่วงระยะเวลา 4 เดือนที่ใช้ฟิล์ม ต้นสนญี่ปุ่นมีการเจริญเติบโตที่รวดเร็วกว่าการปลูกตามปกติอย่างชัดเจน ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้นของการปลูกแบบใช้ฟิล์มนั้นมากกว่าลำต้นแบบปกติประมาณ 1.2 เท่า ในขณะที่มวลเนื้อของต้นสนญี่ปุ่นที่รับแสงผ่านฟิล์มก็มากกว่าต้นที่รับแสงตามปกติเป็น 1.4 เท่า
ทีมวิจัยได้บันทึกอัตราการเจริญเติบโตสัมพัทธ์ (RGR: Relative Growth Rate) ซึ่งเป็นค่าที่ได้จากสัดส่วนมวลเนื้อของพืชที่เพิ่มขึ้นมาใหม่ในแต่ละช่วงเวลาเปรียบเทียบกับมวลเนื้อที่มีอยู่เดิม และพบว่าค่า RGR ของการปลูกต้นสนญี่ปุ่นแบบใช้ฟิล์ม WCM นั้นจะสูงกว่าการปลูกแบบปกติในช่วง 3-4 เดือนแรกอย่างชัดเจน และจากการประเมินอัตราการเจริญเติบโตนี้ทีมวิจัยสรุปว่าการใช้แผ่นฟิล์ม WCM เพื่อปลูกต้นสนญี่ปุ่นจนมีขนาดใหญ่ได้ตามมาตรฐานของการเพาะเลี้ยงนั้นจะช่วยย่นเวลาให้เหลือเพียง 1 ปี จากที่โดยปกติต้องใช้เวลา 2 ปี
(a) ภาพถ่ายเปรียบเทียบต้นสนญี่ปุ่นหลังการเพาะเป็นเวลา 4 เดือน เปรียบเทียบกันระหว่างการเพาะเลี้ยงแบบรับแสงตามปกติและแบบใช้ฟิล์ม WCM, (b) กราฟเปรียบเทียบความสูงของต้นสนญี่ปุ่นทั้งแบบใช้ฟิล์มและไม่ใช่ฟิล์มในแต่ละเดือน, (c) ค่า RGR ของต้นสนญี่ปุ่นในแต่ละช่วงเวลาที่ทดลอง, (d) กราฟเปรียบเทียบมวลเนื้อของต้นสนที่เพาะปลูกแบบใช้ฟิล์มและไม่ใช้ฟิล์ม โดยแยกข้อมูลมวลเนื้อออกตามส่วนต่างๆ ของต้น ได้แก่ รากฝอย (สีดำ), รากแก้วและรากแขนง (สีน้ำตาล), ลำต้น (สีเขียวอ่อน) และใบ (สีเขียวเข้ม)
ทีมวิจัยหวังว่าเทคโนโลยีแผ่นฟิล์ม WCM นี้จะสามารถนำไปใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเพาะปลูกได้ยิ่งขึ้นโดยเฉพาะในพื้นที่ซึ่งมีภูมิอากาศหนาวเย็น ซึ่งจะช่วยเพิ่มผลผลิตและแก้วิกฤติขาดแคลนอาหารในอนาคตได้
สามารถอ่านรายละเอียดของงานวิจัยพัฒนาแผ่นฟิล์ม WCM เพื่อเร่งการเจริญเติบโตของพืชได้ที่นี่
ที่มา - Hokkaido University ผ่าน InceptiveMind |
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.